ทฤษฎีหลักสูตร

จาก ChulaPedia

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(ทฤษฎีหลักสูตรและรูปแบบของหลักสูตรแกน)
 
(การแก้ไข 3 รุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล)
แถว 1: แถว 1:
-
                                                                      '''หลักสูตรแกน: สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น'''
+
== '''ทฤษฎีหลักสูตร: พัฒนาการของกรอบแนวคิด''' ==
-
+
-
          เมื่อครั้งที่เริ่มประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในราวปี พ.ศ. 2551-2553 นั้น  ความเข้าใจบุคคลากรทางการศึกษาส่วนใหญ่เกี่ยวกับคำว่า “หลักสูตรแกนกลาง” ซึ่งแปลจากคำว่า “core curriculum” นั้น ค่อนข้างจะเห็นสอดคล้องไปในทำนองว่า  หลักสูตรแกน หมายถึง ชุดของความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักเรียนทุกคน  ที่จะต้องทราบหรือปฏิบัติได้ (should know and be able to do) เมื่อสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร  จากความเข้าใจดังกล่าว หลักสูตรแกนจึงมีฐานะเป็นกลุ่มหรือชุดของวิชาความรู้ต่างๆ ที่ผู้เรียนทุกคนจำเป็นจะ “ต้อง” เรียนเหมือนกัน  (required for all students) เพื่อให้สำเร็จการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐาน
 
-
          ที่จริงแล้ว ความเข้าใจดังกล่าวอาจมีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง  เนื่องจากแนวคิดเกี่ยวกับหลักสูตรแกนที่แท้จริงนั้น ค่อนข้างเชื่อมโยงกับแนวทางการจัดการศึกษาทั่วไปและการจัดการศึกษาเสรี (liberal education) ซึ่งมิได้มีมุมมองต่อหลักสูตรแกนว่าเป็นแต่เฉพาะชุดของวิชาหรือความรู้พื้นฐานเท่านั้น
 
-
          สำหรับแนวคิดเรื่องการจัดการศึกษาทั่วไปสำหรับผู้เรียนทุกคน (general education) เป็น    การจัดการศึกษาที่มีเป้าหมายในเชิงปรัชญาว่า ผู้เรียนต้องสามารถแสวงหาอิสรภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของตนเองได้ (free human being) ดังนั้น ผู้เรียนจึงควรที่จะได้ศึกษาหาความรู้ต่างๆ อย่างกว้างขวาง  ฝึกปฏิบัติเพื่อถ่ายโอนทักษะ เช่น  การสื่อสาร  การวิเคราะห์และการแก้ปัญหาไปสู่สถานการณ์ต่างๆ ในการดำเนินชีวิตจริง และสร้างความรู้สึก ค่านิยม คุณธรรมและสำนึกพลเมืองและการรับผิดชอบต่อสังคม  (social responsibility)  ผ่านกระบวนการการเผชิญประเด็นปัญหาต่างๆ      ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ด้วยวิธีการศึกษาที่หลากหลายมากกว่าการใช้ความรู้จากเพียงวิชาเดียว (The Association of American Colleges and Universities, 2012: online) หลักสูตรแกนจึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายของการศึกษาทั่วไปและการศึกษาเสรี  ด้วยเหตุนี้ การมองว่าหลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่รวมชุดความรู้และทักษะพื้นฐานต่างๆ ซึ่งมีนัยถึงการแยกออกจากกันเป็นเอกเทศ  จึงยังไม่ครอบคลุมความหมายของหลักสูตรแกนที่แท้จริง และทำให้เกิดสมมติฐานเกี่ยวกับหลักสูตรแกนว่าประกอบด้วยรายวิชาต่างๆ ที่เป็นพื้นฐาน
 
-
          นักหลักสูตรในยุคหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มพิพัฒนาการนิยม (1896-) ได้ใช้กระบวนทัศน์ใหม่ในการพิจารณาหลักสูตรแกน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของนักการศึกษาเสรี ที่เห็นว่า หลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ใช้ปัญหาหรือบทบาทหน้าที่เชิงสังคมของการมีชีวิตอยู่ของผู้เรียน (social functions of living) หรือก็คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงๆ ของผู้เรียนมาเป็นหลักในการสร้างหลักสูตร        ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมไม่มีแยกเป็นรายวิชา ดังนั้น ความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะได้เรียน ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดจากการผสมผสานองค์ความรู้จากศาสตร์สาขาต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน (blending of knowledgeแกนในที่นี้ จึงมิใช่แกนจากศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่เป็นแกนอันได้แก่ ความรู้ ทักษะ ค่านิยมหลักๆ ที่ควรจะเกิดขึ้นจากการศึกษาปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันของผู้เรียน ซึ่งรูปแบบหรือประเภทของหลักสูตรในปัจจุบัน ที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนก็คือ หลักสูตรบูรณาการ (integrated curriculum) นั่นเอง
+
            เมื่อทบทวนการให้นิยามคำว่า  “หลักสูตร”  (curriculum) ของนักหลักสูตรที่ได้เสนอไว้ อาทิ หลักสูตรคือกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายบางอย่างที่ได้กำหนดไว้ก่อนล่วงหน้า (Tyler; Smith, Stanley และ Shores) หลักสูตรคือแผนที่จะทำให้ผู้เรียนเกิด  การเรียนรู้ (Taba) หรือ หลักสูตร หมายถึง การเรียนรู้ต่างๆ  ที่ได้รับการวางแผนและวางแนวทางไว้แล้วล่วงหน้าโดยโรงเรียน (Kerrจะเห็นได้ว่า นิยามต่างๆ เหล่านี้ ยังคงสอดคล้องกับความหมายเดิมของคำว่า “currere” ซึ่งเป็นรากศัพท์ในภาษาลาตินของคำว่าหลักสูตร ซึ่งหมายถึง “ลู่วิ่ง” ที่ผู้เรียนจะต้องออกวิ่งไปให้ถึงจุดหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้กำหนดไว้  
-
          จากมโนทัศน์ของหลักสูตรแกนข้างต้น เมื่อนำมาวินิจฉัยคำกล่าวที่ว่า หลักสูตรแกน ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ หรือองค์ความรู้แยกเป็น 8 สาระการเรียนรู้นั้น ก็จะเห็นได้ว่า มีความ คลาดเคลื่อนไปมาก เพราะกระบวนทัศน์ของนักหลักสูตรในปัจจุบัน กล่าวถึงหลักสูตรแกนในลักษณะหลักสูตรแบบบูรณาการที่ได้หลอมรวมองค์ความรู้จากการวิชาต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และองค์ความรู้เหล่านั้น จะใช้ไปเพื่อศึกษาและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้เรียน          หากกล่าวให้ชัดเจนขึ้น หลักสูตรแกนจึงมีลักษณะสำคัญ คือ  เป็นหลักสูตรแบบบูรณาการ เน้นไปที่การบูรณาการในลักษณะสหสาขาวิชา (interdisciplinary) ที่มีการผสมผสานหรือสอดแทรกความรู้ต่างๆ ข้ามวิชา โดยมุ่งศึกษาประเด็นต่างๆ (theme/issue) ที่ต้องอาศัยความรู้จากหลายสาขาวิชามาใช้แก้ปัญหาหรือสร้างความเข้าใจ ลดการกำหนดช่วงเวลาเรียนที่ตายตัวและแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดมาเป็นการศึกษาร่วมกันด้วยการใช้ช่วงเวลาที่มากขึ้น และอาจใช้บุคลากรผู้สอนซึ่งได้แก่ ครูวิชาต่างๆ และผู้เกี่ยวข้องภายนอกเข้ามาร่วมกิจกรรมการศึกษาหรือแก้ปัญหากับผู้เรียน ดังที่กล่าวมานี้     กระบวนทัศน์ใหม่ที่มีต่อหลักสูตรแกน คือ การพิจารณาว่า หลักสูตรแกนมิใช่หลักสูตรที่ประกอบด้วยความรู้และทักษะในรายวิชาต่างๆ ที่แยกกัน (แยกสอน แยกประเมิน) แต่หลักสูตรแกนที่ “ควรจะเป็น” คือ การบูรณาการความรู้และทักษะที่เป็นแกนหลักในทุกๆ สาขาวิชามาใช้ในการแก้ปัญหาหนึ่งๆ ในชีวิตจริงของผู้เรียน (ร่วมสอน ร่วมประเมิน)
+
   
 +
            เป็นที่น่าสังเกตว่า การกำหนดจุดหมายหรือสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติได้นั้น มักเป็นจุดหมายที่ผู้อื่น (ประเทศ  รัฐ  สังคม ชุมชน ครอบครัว ฯลฯ) กำหนดขึ้น แต่ในระยะต่อมาแนวคิดในการกำหนดจุดมุ่งหมายได้เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ มีการหันกลับมาเน้นที่ความสำคัญของผู้เรียนแต่ละคน  ในฐานะผู้เลือกและผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาของตนเองมากยิ่งขึ้น  เปรียบเสมือนการที่ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้กำหนดจุดหมาย ออกแบบและสร้างลู่วิ่งที่ขึ้นเอง  การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงกรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย 
 +
การเปลี่ยนแปลงของกรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร ส่งผลให้ทฤษฎีหลักสูตรเปลี่ยนแปลง     ตามไปด้วย สำหรับคำว่าทฤษฎีหลักสูตรในที่นี้ หมายถึง ข้อความรู้ที่จะใช้บรรยายหรืออธิบายคำถามสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับหลักสูตรในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการใคร่ครวญในประเด็นสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งนักหลักสูตรพึงกระทำให้ตนเองเกิดความเข้าใจที่กระจ่างแจ้งเสียก่อน คำถามสำคัญ ดังกล่าว  เช่น ความรู้คืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร ความรู้ใดที่มีคุณค่าและควรที่จะนำมาให้เรียน      ใครเป็นผู้กำหนดว่าความรู้หนึ่งสำคัญกว่าอีกความรู้หนึ่งหรือควรเรียนก่อน  จะจัดประสบการณ์หรือกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้นั้นอย่างไร จะวัดประเมินอย่างไรว่าผู้เรียนเกิดความรู้หรือเรียนรู้แล้ว  เป็นต้น คำถามต่างๆ ดังที่ได้ยกตัวอย่างมาแสดงให้เห็นว่า ทฤษฎีหลักสูตรมีความสัมพันธ์กับปรัชญาสาขาญาณวิทยา (epistemology) เป็นอย่างมาก  เพราะมุ่งตั้งคำถามเน้นไปที่ “ความรู้” เป็นหลัก ในขณะที่เรื่องการเรียน    การสอนกลับเป็นประเด็นรองลงไป  ด้วยเหตุนี้ อาจกล่าวได้ว่า  กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรมีความเชื่อมโยงกับคำถามสำคัญต่างๆ  เกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของความรู้ในบุคคลเป็นสำคัญ
-
          เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาหลักสูตรแกนที่ใช้ในปัจจุบันจะพบว่า  มีลักษณะเป็นแกนแบบแยกวิชา ภายใต้อุดมการณ์และเป้าหมายของแต่ละวิชาที่ไม่เชื่อมโยงกัน  มากว่าจะเป็นแกนที่เกิดจากการ    หลอมรวมวิชาภายใต้บริบทปัญหาจริงในชีวิต ผลที่ตามมาก็คือ ผู้เรียนไม่สามารถที่จะประยุกต์ความรู้ในลักษณะ “ข้ามศาสตร์ ”ได้  และความรู้ที่เรียนไปไม่สามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาในชีวิต เพราะเป็นการเรียนจากตัวองค์ความรู้และพยายามที่จะ  “ลากเข้าความ”  ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่มาก  เห็นได้ว่า  ผู้เรียนจะตั้งคำถามทันทีว่า “เรียนเรื่องนี้ไปทำไม” หรือ  “เรียนแล้วนำไปใช้อะไรได้”  ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการศึกษาที่ใช้ตัวศาสตร์หรือตัวองค์ความรู้เป็นตัวตั้ง  โดยธรรมชาติจะมิได้มุ่งเน้นการนำไปใช้  ซึ่งต่างจากการนำปัญหาหรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสังคมที่อยู่รอบตัวผู้เรียนมาเป็นตัวตั้งหรือเป็นแกน แล้วนำศาสตร์สาขาต่างๆ มาใช้ศึกษาหรือแก้ปัญหา เช่นนี้ ผู้เรียนย่อมจะเกิดความเข้าใจเพราะสิ่งที่ศึกษานั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต คือ  เชื่อมโยงกับปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่ได้  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัญหาชีวิตในช่วงวัยต่างๆ ปัญหาการปรับตัวหรือความสัมพันธ์ในครอบครัว  ปัญหาด้านเศรษฐกิจ  ความสัมพันธ์เชิงพหุวัฒนธรรม  สุขภาพ  หรือแม้แต่กระทั่งปัญหาในระดับชาติ เป็นต้น
 
-
          ข้อควรวิพากษ์สำหรับหลักสูตรแกนที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนักหลักสูตรและบุคลากรฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควรที่จะให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือ เรายังจำเป็นจะต้องพัฒนาหลักสูตรตาม      กระบวนทัศน์ใหม่ อันเป็นกระบวนทัศน์ที่จะนำไปสู่การสร้างแกนกลางที่แท้จริงหรือไม่ และการที่เราใช้แกนจากวิชามากำหนดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน ให้มีความรู้หนึ่ง ทักษะหนึ่ง แยกกันไปตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 สาระการเรียนรู้เช่นนี้ จะก่อผลอย่างไรต่อผู้เรียนของเรา อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรแกนตามกระบวนทัศน์ใหม่ว่า จะต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนความคิดของครูในฐานะผู้ใช้หลักสูตรแกนจากเดิมที่เชื่อว่า หลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ประกอบด้วยรายวิชาต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานและจำเป็นสำหรับผู้เรียน มาเป็นความคิดว่า หลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ประกอบด้วยประสบการณ์ต่างๆ ที่ผู้เรียนได้จากการศึกษาปัญหาทั้งของตนเองและชุมชน ผ่านการบูรณาการศาสตร์สาขาต่างๆ ด้วยเหตุนี้
+
              หากจะกล่าวให้ชัดเจนขึ้น กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร คือ ความเชื่อกลุ่มต่างๆ เกี่ยวกับ    การเกิดขึ้นของความรู้ภายในบุคคล และโครงสร้างของการจัดการจัดการความรู้ ซึ่งสัมพันธ์กับคำถาม อาทิ ความรู้คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร และความรู้ใดมีคุณค่ามากที่สุด (Morris, 1976: 299) จากนิยามดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร คือ ความคิดและความเชื่อที่นักหลักสูตรมีต่อกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “ที่มา”  และ  “วิธีการ”  สร้างความรู้ในบุคคล  ซึ่งจะนำไปใช้วางแผนหรือตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับการกำหนดจุดประสงค์ เนื้อหา วิธีการเรียนการสอนและการประเมินผลในหลักสูตรฉบับเขียน และด้วยเหตุที่กรอบแนวคิดฯ ของนักหลักสูตรแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันออกไป จึงส่งผลให้ทฤษฎีหลักสูตรมีหลากหลายตามไปด้วย 
 +
ทฤษฎีหลักสูตรดั้งเดิม มาจากการที่นักหลักสูตรกลุ่มหนึ่งมีกรอบแนวคิดว่า  ความรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้เหตุผล ในการประมวลและสะท้อนความคิดต่างๆ ภายในตัวบุคคล ดังนั้น ผู้เรียนก็ควรที่จะได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่ทำให้เกิดการใช้เหตุผล เช่น คณิตศาสตร์ ไวยากรณ์  ตรรกศาสตร์  วาทวิทยา  ประวัติศาสตร์  ภาษาและวรรณคดี เป็นต้น กรอบแนวคิดเช่นว่านี้ ทำให้หลักสูตรเน้นไปที่เนื้อหาวิชา        หรือความรู้ต่างๆ ที่ผู้เรียนพึงศึกษาเพื่อพัฒนากระบวนการให้เหตุผลของตนเอง อันจะนำไปสู่การแสวงหาความจริงแท้ (pursuit of truth) ต่อมาเมื่อทฤษฎีการเรียนรู้มีพัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ นักหลักสูตรอีกกลุ่มหนึ่งจึงพยายามที่จะเสนอกรอบแนวคิดใหม่  ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อว่า ความรู้ไม่ใช่เรื่องของการใช้เหตุผลหรือเพียงการนึกคิดเอาเท่านั้น แต่ความรู้ที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการซึมซับประสบการณ์ต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏอยู่จริงในโลก แล้วเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบางอย่างเพื่อสร้างเป็นความรู้ใหม่สำหรับตนเองขึ้นมา นักหลักสูตรในกลุ่มนี้ จึงสร้างทฤษฎีหลักสูตรที่อธิบายว่า หลักสูตรคือมวลประสบการณ์ที่ผู้เรียนพึงได้รับ เพื่อให้พวกเขาได้ลงมือปฏิบัติหรือสัมผัสจับต้องสิ่งต่างๆ  ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้น ทฤษฎีหลักสูตรในกลุ่มนี้จึงเน้นไปที่การจัดกิจกรรมและประสบการณ์อันหลากหลายให้แก่ผู้เรียน  ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างจากทฤษฎีหลักสูตรในยุคแรกเป็นอย่างมาก
-
          1.  ความเป็นรายวิชาต่างๆ จะสิ้นสุดลง  ชื่อวิชาตามศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น ชีววิทยา คณิตศาสตร์  ประวัติศาสตร์  ฯลฯ  ที่เป็นแบบตรงตัวจะหายไป และจะมีชื่อวิชา เช่น พลังงานทดแทน  คุณภาพชีวิต  ภาวะโลกร้อน  เอดส์และโรคติดต่อ  ฯลฯ จะเข้ามาแทนในลักษณะหัวเรื่อง (theme) ที่จะเชื่อมโยงกับศาสตร์หรือวิทยาการต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางแทน
 
-
          2. ตารางเรียนแบบแยกช่วงเวลาในแต่ละรายวิชาจะสิ้นสุดลง กลายเป็นตารางเรียนที่มีความยืดหยุ่น และแสดงการใช้เวลาในแต่ละหัวเรื่องที่มากขึ้น เช่น ศึกษาหัวเรื่องหนึ่งอาจต้องใช้เวลาศึกษา      2 สัปดาห์ เป็นต้น
+
              สำหรับนักหลักสูตรที่ศรัทธาในวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลอย่างยิ่งในปัจจุบันนั้น มีกรอบแนวคิดที่เชื่อว่า ความรู้ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียนก็คือความรู้ที่มีอยู่ในการปฏิบัติงานจริงของผู้ใหญ่  ทฤษฎีหลักสูตรในกลุ่มนี้ จึงเริ่มจากการอธิบายว่า ความรู้ใดบ้างที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ หรือเป็นความรู้ที่สำรวจพบในสังคมของผู้ใหญ่ และเด็กควรที่จะศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานหรือตอบสนองต่อความต้องการของสังคมเมื่อเติบโตขึ้น  การจัดการเรียนการสอนของทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้      จึงดำเนินการภายใต้ความเชื่อว่า โรงเรียนคือสังคมผู้ใหญ่จำลองที่ผู้เรียนจะต้องออกไปเผชิญ  ดังนั้น  โรงเรียนจึงมีหน้าที่สะท้อนให้นักเรียนเห็นความรู้และทักษะที่ผู้ใหญ่ในสังคมจะต้องปฏิบัติ  การให้ความสำคัญกับวิเคราะห์สิ่งที่สังคมต้องการ แล้วนำมากำหนดความรู้หรือประสบการณ์ที่ผู้เรียนพึงได้รับในวัยเด็กเช่นนี้ ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีหลักสูตรที่เน้นผลผลิต ซึ่งก็มีจุดอ่อนที่สำคัญคือ เป็นทฤษฎีที่มิได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะมิได้คำนึงว่า ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่ผู้เรียนต้องการหรือไม่  และที่จริงแล้วความรู้ โดยส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นภายในบุคคล  มากกว่าที่จะรับมาจากภายนอกก็เป็นได้  
-
          3.  การวัดประเมินผลแบบแยกรายวิชาจะสิ้นสุดลง  แต่มุ่งเน้นการประเมินความสามารถในการประยุกต์ความรู้และทักษะจากวิชาต่างๆ มาแทนขณะที่ปฏิบัติกิจกรรมภายใต้หัวเรื่องหนึ่งๆ  ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ผู้ประเมินหลายคน และมิได้ใช้แต่เฉพาะแบบทดสอบในการประเมินเท่านั้น 
 
-
          4. บทบาทในการแสดงความเชี่ยวชาญในศาสตร์สาขาที่ตนเองรับผิดชอบเพียงลำพังจะ    สิ้นสุดลง แต่จะต้องเพิ่มบทบาทของผู้ช่วยเหลือและเชื่อมโยงศาสตร์ของตนเองเข้ากับวิทยาการ      สาขาอื่นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ครูจะเป็นผู้ “รู้ลึก” อย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป แต่จะต้องเป็นผู้ “รู้รอบ” และทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ได้อย่างไม่ลำบากใจ
+
              กระแสความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ทำให้บุคคลเริ่มแสวงหาวิถีชีวิตหรือสิ่งที่เป็นความหมายที่แท้จริงสำหรับชีวิต หลักสูตรที่รับใช้แต่ในที่สังคมต้องการจึงได้รับการพิจารณาจากนักหลักสูตรกลุ่มใหม่ ที่มีกรอบแนวคิดอันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า ความรู้ใดจะสำคัญจำเป็นหรือเป็นที่ต้องการมากน้อยเพียงใดก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ความรู้ที่สังคมให้คุณค่า อาจจะมิใช่ความรู้ที่บุคคลหนึ่งเห็นคุณค่า ซึ่งก็ทำให้เขาสามารถ “ปฏิเสธ” ความรู้นั้นก็ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การตัดสินใจว่าความรู้คืออะไร ความรู้อะไรที่สำคัญ และจะพัฒนาตนเองให้เกิดความรู้ดังกล่าวได้อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่แต่ละบุคคลจะต้องตัดสินใจและดำเนินการเองตามศักยภาพที่ตนเองมี  ทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มที่เชื่อในความต้องการของสังคมหรือ  “บุคคลภายนอก” อื่นๆ ที่จะเข้ามาอิทธิพลในการกำหนดเป้าหมายในชีวิตของแต่ละบุคคล  รวมทั้งปฏิเสธวิธีการเรียนการสอนใดๆ ที่มิได้เริ่มจากความต้องการของผู้เรียน  จะเห็นได้ว่า กรอบแนวคิดของหลักสูตรกลุ่มหลังนี้  ผู้เรียนถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดที่จะเป็นผู้เลือกด้วยตนเองว่า อะไรคือสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตของเขา  และตนเองควรจะต้องทำหรือไม่ทำอะไร หลักสูตรจึงมิใช่สิ่งที่กำหนดไว้ก่อนล่วงหน้า  ดังเช่นที่นักหลักสูตรทุกกลุ่มข้างต้นได้เสนอแนวคิดไว้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างระยะทางแห่งการ “ก้าวไป” ข้างหน้าเรื่อยๆ ตามความสนใจ  ความต้องการ  ความพร้อมและบริบทของผู้เรียนคนนั้น  
-
          คำถามคือ เมื่อหลักสูตรแกนตามกระบวนทัศน์ใหม่เป็นเช่นนี้ แล้วสังคมไทย ผู้จัดการศึกษากระแสหลักของไทยจะยอมรับได้หรือไม่ จะสามารถที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อปฏิบัติทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ จะมีใครบ้างที่ยอมปรับเปลี่ยน จะมีใครบ้างที่จะยอมลดบทบาทในแกนหรือศาสตร์ของตนเองไป เหล่านี้ล้วนแต่เป็นโจทย์ที่อาจจะยากในการแก้ แต่อย่างไรเสียก็เป็นโจทย์ที่มีคำตอบ ซึ่งจะถูกหรือผิดนั้น ก็จะต้องผ่านการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักหลักสูตร ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์ต่างๆ ของหลักสูตร และตั้งคำถามในทันทีที่เห็นสัญญาณของมายาภาพบางอย่างของหลักสูตรเกิดขึ้น  
+
 
 +
                คุณค่าของการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีหลักสูตร มิได้อยู่ที่การทำความเข้าใจว่าทฤษฎีหลักสูตรแต่ละทฤษฎีกล่าวไว้ว่าอย่างไร แต่กลับอยู่ที่คำถามที่งอกเงยตามมาอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากกรอบแนวคิดที่เป็นพื้นฐานของแต่ละทฤษฎีดังกล่าวนั้น เช่น หากมีกรอบแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรอันเนื่องมากจากความเชื่อที่ว่า ความรู้เกิดจาการประสบการณ์ และเราควรที่จะประสบการณ์ที่หลากหลายให้แก่ผู้เรียน คำถามที่ตามมาคือ ประสบการณ์ใดจะมีนัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้มากที่สุด เพราะผู้เรียนแต่ละคนอาจเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ต่างกันก็เป็นได้ และจะต้องให้ประสบการณ์ดังกล่าวในอัตราที่มากน้อยเพียงใด หรือให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกี่ครั้ง กี่ชั่วโมงหรือประเมินผลอย่างไร จึงจะมั่นใจได้ว่าผู้เรียนเกิดความรู้ขึ้นแล้ว เป็นต้น  นักหลักสูตรจำเป็นจะต้องตระหนักถึงคำถามเหล่านี้ให้มาก  เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและมีหลักการที่มั่งคงเพียงพอ  ในการนำไปพัฒนาหลักสูตรฉบับเขียนที่เป็นรูปธรรม  และมีแนวทางการนำไปใช้ที่ชัดเจนตามความเชื่อของแต่ละกรอบแนวคิด  
-
______________________________________________________
+
== หัวข้อ ==
-
รายการอ้างอิง
 
-
The Association of American Colleges and Universities.  2012.  What is Liberal      Education?[Online]. Available from: http://www.aacu.org/leap/What_is_liberal_education.cfm[2012, April 11].
 
-
ผู้เขียน อ.เฉลิมลาภ ทองอาจ
+
                                                                      __________________________________________
-
          โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม  
+
เรียบเรียงโดย
-
          คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
+
เฉลิมลาภ ทองอาจ
 +
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
 +
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รุ่นปัจจุบันของ 10:52, 16 มิถุนายน 2555

ทฤษฎีหลักสูตร: พัฒนาการของกรอบแนวคิด

            เมื่อทบทวนการให้นิยามคำว่า  “หลักสูตร”  (curriculum) ของนักหลักสูตรที่ได้เสนอไว้ อาทิ หลักสูตรคือกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายบางอย่างที่ได้กำหนดไว้ก่อนล่วงหน้า (Tyler; Smith, Stanley และ Shores)  หลักสูตรคือแผนที่จะทำให้ผู้เรียนเกิด   การเรียนรู้ (Taba) หรือ หลักสูตร หมายถึง การเรียนรู้ต่างๆ  ที่ได้รับการวางแผนและวางแนวทางไว้แล้วล่วงหน้าโดยโรงเรียน (Kerr)  จะเห็นได้ว่า นิยามต่างๆ เหล่านี้  ยังคงสอดคล้องกับความหมายเดิมของคำว่า  “currere” ซึ่งเป็นรากศัพท์ในภาษาลาตินของคำว่าหลักสูตร ซึ่งหมายถึง “ลู่วิ่ง” ที่ผู้เรียนจะต้องออกวิ่งไปให้ถึงจุดหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้กำหนดไว้  


เป็นที่น่าสังเกตว่า การกำหนดจุดหมายหรือสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติได้นั้น มักเป็นจุดหมายที่ผู้อื่น (ประเทศ รัฐ สังคม ชุมชน ครอบครัว ฯลฯ) กำหนดขึ้น แต่ในระยะต่อมาแนวคิดในการกำหนดจุดมุ่งหมายได้เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ มีการหันกลับมาเน้นที่ความสำคัญของผู้เรียนแต่ละคน ในฐานะผู้เลือกและผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาของตนเองมากยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนการที่ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้กำหนดจุดหมาย ออกแบบและสร้างลู่วิ่งที่ขึ้นเอง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงกรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย การเปลี่ยนแปลงของกรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร ส่งผลให้ทฤษฎีหลักสูตรเปลี่ยนแปลง ตามไปด้วย สำหรับคำว่าทฤษฎีหลักสูตรในที่นี้ หมายถึง ข้อความรู้ที่จะใช้บรรยายหรืออธิบายคำถามสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับหลักสูตรในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการใคร่ครวญในประเด็นสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งนักหลักสูตรพึงกระทำให้ตนเองเกิดความเข้าใจที่กระจ่างแจ้งเสียก่อน คำถามสำคัญ ดังกล่าว เช่น ความรู้คืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร ความรู้ใดที่มีคุณค่าและควรที่จะนำมาให้เรียน ใครเป็นผู้กำหนดว่าความรู้หนึ่งสำคัญกว่าอีกความรู้หนึ่งหรือควรเรียนก่อน จะจัดประสบการณ์หรือกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้นั้นอย่างไร จะวัดประเมินอย่างไรว่าผู้เรียนเกิดความรู้หรือเรียนรู้แล้ว เป็นต้น คำถามต่างๆ ดังที่ได้ยกตัวอย่างมาแสดงให้เห็นว่า ทฤษฎีหลักสูตรมีความสัมพันธ์กับปรัชญาสาขาญาณวิทยา (epistemology) เป็นอย่างมาก เพราะมุ่งตั้งคำถามเน้นไปที่ “ความรู้” เป็นหลัก ในขณะที่เรื่องการเรียน การสอนกลับเป็นประเด็นรองลงไป ด้วยเหตุนี้ อาจกล่าวได้ว่า กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรมีความเชื่อมโยงกับคำถามสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของความรู้ในบุคคลเป็นสำคัญ


หากจะกล่าวให้ชัดเจนขึ้น กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร คือ ความเชื่อกลุ่มต่างๆ เกี่ยวกับ การเกิดขึ้นของความรู้ภายในบุคคล และโครงสร้างของการจัดการจัดการความรู้ ซึ่งสัมพันธ์กับคำถาม อาทิ ความรู้คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร และความรู้ใดมีคุณค่ามากที่สุด (Morris, 1976: 299) จากนิยามดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร คือ ความคิดและความเชื่อที่นักหลักสูตรมีต่อกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “ที่มา” และ “วิธีการ” สร้างความรู้ในบุคคล ซึ่งจะนำไปใช้วางแผนหรือตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับการกำหนดจุดประสงค์ เนื้อหา วิธีการเรียนการสอนและการประเมินผลในหลักสูตรฉบับเขียน และด้วยเหตุที่กรอบแนวคิดฯ ของนักหลักสูตรแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันออกไป จึงส่งผลให้ทฤษฎีหลักสูตรมีหลากหลายตามไปด้วย ทฤษฎีหลักสูตรดั้งเดิม มาจากการที่นักหลักสูตรกลุ่มหนึ่งมีกรอบแนวคิดว่า ความรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้เหตุผล ในการประมวลและสะท้อนความคิดต่างๆ ภายในตัวบุคคล ดังนั้น ผู้เรียนก็ควรที่จะได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่ทำให้เกิดการใช้เหตุผล เช่น คณิตศาสตร์ ไวยากรณ์ ตรรกศาสตร์ วาทวิทยา ประวัติศาสตร์ ภาษาและวรรณคดี เป็นต้น กรอบแนวคิดเช่นว่านี้ ทำให้หลักสูตรเน้นไปที่เนื้อหาวิชา หรือความรู้ต่างๆ ที่ผู้เรียนพึงศึกษาเพื่อพัฒนากระบวนการให้เหตุผลของตนเอง อันจะนำไปสู่การแสวงหาความจริงแท้ (pursuit of truth) ต่อมาเมื่อทฤษฎีการเรียนรู้มีพัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ นักหลักสูตรอีกกลุ่มหนึ่งจึงพยายามที่จะเสนอกรอบแนวคิดใหม่ ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อว่า ความรู้ไม่ใช่เรื่องของการใช้เหตุผลหรือเพียงการนึกคิดเอาเท่านั้น แต่ความรู้ที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการซึมซับประสบการณ์ต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏอยู่จริงในโลก แล้วเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบางอย่างเพื่อสร้างเป็นความรู้ใหม่สำหรับตนเองขึ้นมา นักหลักสูตรในกลุ่มนี้ จึงสร้างทฤษฎีหลักสูตรที่อธิบายว่า หลักสูตรคือมวลประสบการณ์ที่ผู้เรียนพึงได้รับ เพื่อให้พวกเขาได้ลงมือปฏิบัติหรือสัมผัสจับต้องสิ่งต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้น ทฤษฎีหลักสูตรในกลุ่มนี้จึงเน้นไปที่การจัดกิจกรรมและประสบการณ์อันหลากหลายให้แก่ผู้เรียน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างจากทฤษฎีหลักสูตรในยุคแรกเป็นอย่างมาก


             	สำหรับนักหลักสูตรที่ศรัทธาในวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลอย่างยิ่งในปัจจุบันนั้น มีกรอบแนวคิดที่เชื่อว่า ความรู้ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียนก็คือความรู้ที่มีอยู่ในการปฏิบัติงานจริงของผู้ใหญ่  ทฤษฎีหลักสูตรในกลุ่มนี้ จึงเริ่มจากการอธิบายว่า ความรู้ใดบ้างที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ หรือเป็นความรู้ที่สำรวจพบในสังคมของผู้ใหญ่ และเด็กควรที่จะศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานหรือตอบสนองต่อความต้องการของสังคมเมื่อเติบโตขึ้น  การจัดการเรียนการสอนของทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้       จึงดำเนินการภายใต้ความเชื่อว่า โรงเรียนคือสังคมผู้ใหญ่จำลองที่ผู้เรียนจะต้องออกไปเผชิญ  ดังนั้น  โรงเรียนจึงมีหน้าที่สะท้อนให้นักเรียนเห็นความรู้และทักษะที่ผู้ใหญ่ในสังคมจะต้องปฏิบัติ  การให้ความสำคัญกับวิเคราะห์สิ่งที่สังคมต้องการ แล้วนำมากำหนดความรู้หรือประสบการณ์ที่ผู้เรียนพึงได้รับในวัยเด็กเช่นนี้ ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีหลักสูตรที่เน้นผลผลิต ซึ่งก็มีจุดอ่อนที่สำคัญคือ เป็นทฤษฎีที่มิได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะมิได้คำนึงว่า ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่ผู้เรียนต้องการหรือไม่  และที่จริงแล้วความรู้ โดยส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นภายในบุคคล  มากกว่าที่จะรับมาจากภายนอกก็เป็นได้  


กระแสความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ทำให้บุคคลเริ่มแสวงหาวิถีชีวิตหรือสิ่งที่เป็นความหมายที่แท้จริงสำหรับชีวิต หลักสูตรที่รับใช้แต่ในที่สังคมต้องการจึงได้รับการพิจารณาจากนักหลักสูตรกลุ่มใหม่ ที่มีกรอบแนวคิดอันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า ความรู้ใดจะสำคัญจำเป็นหรือเป็นที่ต้องการมากน้อยเพียงใดก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ความรู้ที่สังคมให้คุณค่า อาจจะมิใช่ความรู้ที่บุคคลหนึ่งเห็นคุณค่า ซึ่งก็ทำให้เขาสามารถ “ปฏิเสธ” ความรู้นั้นก็ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การตัดสินใจว่าความรู้คืออะไร ความรู้อะไรที่สำคัญ และจะพัฒนาตนเองให้เกิดความรู้ดังกล่าวได้อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่แต่ละบุคคลจะต้องตัดสินใจและดำเนินการเองตามศักยภาพที่ตนเองมี ทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มที่เชื่อในความต้องการของสังคมหรือ “บุคคลภายนอก” อื่นๆ ที่จะเข้ามาอิทธิพลในการกำหนดเป้าหมายในชีวิตของแต่ละบุคคล รวมทั้งปฏิเสธวิธีการเรียนการสอนใดๆ ที่มิได้เริ่มจากความต้องการของผู้เรียน จะเห็นได้ว่า กรอบแนวคิดของหลักสูตรกลุ่มหลังนี้ ผู้เรียนถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดที่จะเป็นผู้เลือกด้วยตนเองว่า อะไรคือสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตของเขา และตนเองควรจะต้องทำหรือไม่ทำอะไร หลักสูตรจึงมิใช่สิ่งที่กำหนดไว้ก่อนล่วงหน้า ดังเช่นที่นักหลักสูตรทุกกลุ่มข้างต้นได้เสนอแนวคิดไว้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างระยะทางแห่งการ “ก้าวไป” ข้างหน้าเรื่อยๆ ตามความสนใจ ความต้องการ ความพร้อมและบริบทของผู้เรียนคนนั้น


                คุณค่าของการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีหลักสูตร  มิได้อยู่ที่การทำความเข้าใจว่าทฤษฎีหลักสูตรแต่ละทฤษฎีกล่าวไว้ว่าอย่างไร แต่กลับอยู่ที่คำถามที่งอกเงยตามมาอย่างรวดเร็ว  อันเนื่องมาจากกรอบแนวคิดที่เป็นพื้นฐานของแต่ละทฤษฎีดังกล่าวนั้น  เช่น หากมีกรอบแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรอันเนื่องมากจากความเชื่อที่ว่า ความรู้เกิดจาการประสบการณ์ และเราควรที่จะประสบการณ์ที่หลากหลายให้แก่ผู้เรียน คำถามที่ตามมาคือ  ประสบการณ์ใดจะมีนัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้มากที่สุด  เพราะผู้เรียนแต่ละคนอาจเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ต่างกันก็เป็นได้  และจะต้องให้ประสบการณ์ดังกล่าวในอัตราที่มากน้อยเพียงใด หรือให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกี่ครั้ง กี่ชั่วโมงหรือประเมินผลอย่างไร  จึงจะมั่นใจได้ว่าผู้เรียนเกิดความรู้ขึ้นแล้ว เป็นต้น  นักหลักสูตรจำเป็นจะต้องตระหนักถึงคำถามเหล่านี้ให้มาก  เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและมีหลักการที่มั่งคงเพียงพอ  ในการนำไปพัฒนาหลักสูตรฉบับเขียนที่เป็นรูปธรรม  และมีแนวทางการนำไปใช้ที่ชัดเจนตามความเชื่อของแต่ละกรอบแนวคิด  

หัวข้อ

                                                                     __________________________________________

เรียบเรียงโดย เฉลิมลาภ ทองอาจ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เครื่องมือส่วนตัว