รอยประทับของภาพสะท้อน
จาก ChulaPedia
แถว 1: | แถว 1: | ||
- | |||
จาฟาร์ ปานาฮี(Jafar Panahi)ถูกยัดเยียดข้อหาจนได้เรื่อง เขาถูกจับกุมในค.ศ.2010 ด้วยการเหวี่ยงแหข้อหาปลุกปั่นให้มีการต่อต้านรัฐบาลอิหร่านใส่การทำหนังของเขา มีระวางโทษจำคุก 6 ปีและห้ามกำกับหรือเขียนบทหนังเป็นเวลา 20 ปี วงการภาพยนตร์เต้นเป็นเจ้าเข้ากับการจับกุมปานาฮี มีการร่อนจดหมายเข้าชื่อ รวมถึงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อคัดค้าน (ในฐานะกรรมการกิติมศักดิ์ของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ประจำ ค.ศ.2010 มีการสำรองที่นั่งว่างแก่เขาไว้ 1 ที่) ในท่ามกลางการรณรงค์ที่กล่าวมาผลงานหนังของปานาฮีนั่นเองที่ส่งผลชะงัดร้ายกาจเป็นที่สุด จากฝีมือจัดจ้านหาตัวจับยากถึงขั้นหนุนส่งให้เขาไปยืนในทำเนียบในยอดผู้กำกับของโลกที่ไม่ใช่ได้มาเพราะคะแนนสงสารจากการถูกเผด็จการกดขี่ | จาฟาร์ ปานาฮี(Jafar Panahi)ถูกยัดเยียดข้อหาจนได้เรื่อง เขาถูกจับกุมในค.ศ.2010 ด้วยการเหวี่ยงแหข้อหาปลุกปั่นให้มีการต่อต้านรัฐบาลอิหร่านใส่การทำหนังของเขา มีระวางโทษจำคุก 6 ปีและห้ามกำกับหรือเขียนบทหนังเป็นเวลา 20 ปี วงการภาพยนตร์เต้นเป็นเจ้าเข้ากับการจับกุมปานาฮี มีการร่อนจดหมายเข้าชื่อ รวมถึงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อคัดค้าน (ในฐานะกรรมการกิติมศักดิ์ของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ประจำ ค.ศ.2010 มีการสำรองที่นั่งว่างแก่เขาไว้ 1 ที่) ในท่ามกลางการรณรงค์ที่กล่าวมาผลงานหนังของปานาฮีนั่นเองที่ส่งผลชะงัดร้ายกาจเป็นที่สุด จากฝีมือจัดจ้านหาตัวจับยากถึงขั้นหนุนส่งให้เขาไปยืนในทำเนียบในยอดผู้กำกับของโลกที่ไม่ใช่ได้มาเพราะคะแนนสงสารจากการถูกเผด็จการกดขี่ |
การปรับปรุง เมื่อ 04:30, 25 ธันวาคม 2556
จาฟาร์ ปานาฮี(Jafar Panahi)ถูกยัดเยียดข้อหาจนได้เรื่อง เขาถูกจับกุมในค.ศ.2010 ด้วยการเหวี่ยงแหข้อหาปลุกปั่นให้มีการต่อต้านรัฐบาลอิหร่านใส่การทำหนังของเขา มีระวางโทษจำคุก 6 ปีและห้ามกำกับหรือเขียนบทหนังเป็นเวลา 20 ปี วงการภาพยนตร์เต้นเป็นเจ้าเข้ากับการจับกุมปานาฮี มีการร่อนจดหมายเข้าชื่อ รวมถึงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อคัดค้าน (ในฐานะกรรมการกิติมศักดิ์ของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ประจำ ค.ศ.2010 มีการสำรองที่นั่งว่างแก่เขาไว้ 1 ที่) ในท่ามกลางการรณรงค์ที่กล่าวมาผลงานหนังของปานาฮีนั่นเองที่ส่งผลชะงัดร้ายกาจเป็นที่สุด จากฝีมือจัดจ้านหาตัวจับยากถึงขั้นหนุนส่งให้เขาไปยืนในทำเนียบในยอดผู้กำกับของโลกที่ไม่ใช่ได้มาเพราะคะแนนสงสารจากการถูกเผด็จการกดขี่
สำหรับปานาฮีแล้วแม้ว่าการทำหนังจะเลี่ยงข้องแวะการเมืองไม่ได้ แต่นับจากผลงานเปิดตัวคือ White Balloon มาจน Offside งานในค.ศ.2006 ปานาฮีก็แค่ปอกเปลือกสังคมเมืองร่วมสมัยของอิหร่านผ่านการเล่าเรื่องอันคมคายและตั้งอยู่บนหลักมนุษยนิยมโดยมีการพาดพิงถึงประเด็นเพศและชนชั้นเพียงละมุนละม่อม ไม่มีการขึ้นธรรมาสน์สอนสั่งหรือตั้งตนเป็นเจ้าสำนักแต่อย่างใด ปานาฮีให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับการปลุกปั้นตัวละครและผูกเรื่อง จากนั้นค่อยล่อให้ข้อเท็จจริงทางการเมืองที่คอยตีกรอบตัวละครของเขา ออกมาจากหลืบ ตีแผ่เหตุการณ์ไปตามเนื้อผ้ามากเท่าที่แนวทางการกำกับอันเถรตรงจะอ้างสิทธิ์ได้ การเสียผู้กำกับมือฉมังไปในช่วงกำลังเข้าฝักนับเป็นหายนะอันชวนเสียขวัญยิ่งของวงการภาพยนตร์โลก สื่อเล่าเรื่องที่ไม่เรียกว่าหนัง (This Is Not a Film) ที่ปานาฮีผลิตขึ้นระหว่างถูกกักบริเวณในบ้านตัวเองเพื่อรอการส่งตัวไปรับโทษ โดยความร่วมมือจากเพื่อนนักทำสารคดีชื่อมอทาบา เมียร์ทาห์มาสบ์ (Motjaba Mirtahmasb) จึงเป็นยิ่งกว่าปฏิบัติการสะท้านโลกและเป็นการล้มล้างขนบส่งผ่านเรื่องราว เมื่อแท่งความจำ(USB drive)บรรจุหนังเรื่องนี้ถูกซ่อนมาในก้อนเค้กและเดินทางเข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ประจำปีค.ศ.2011 ได้ราวปาฏิหาริย์
ผลงานความยาว 70 นาทีบันทึกเหตุการณ์จากกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวขนาดพกพาของปานาฮีเองผสมกับกล้องจากไอโฟน(iPhone) แรกทีเดียวงานชิ้นนี้ดูไม่สมประดี ไม่มีความสลักสำคัญ ภาพเหตุการณ์แรกมาจากการตั้งกล้องขาตายจับความเป็นไปขณะปานาฮีจับเจ่าอยู่กับโต๊ะอาหาร ทาแยม กินขนมปัง และต่อโทรศัพท์ไปหาเมียร์ทาห์มาสบ์ ปานาฮีเดินไปเข้าห้องน้ำโทรศัพท์หาทนาย ป้อนอาหารอีกัวนาสัตว์เลี้ยงของลูกสาว และเดินร่อนไปทั่วบ้าน แม้ดูสับสนและกระสับกระส่ายจนสังเกตได้ แต่ปานาฮียังแน่วแน่และสู้สายตากับกล้อง ย้ำชัดถึงการถอดหัวโขนให้สิ้นเรื่องสิ้นราว นับเป็นความปราดเปรื่องยิ่งกับการปลุกผีช่วงเวลาอันตราตรึงใจจาก The Mirror จากครั้งค.ศ.1997 กลับมาโลดแล่น ตัวละครเอกเด็กหญิงตัวน้อยหลุดบท เสียขวัญและงอแงปาวๆ ต่อหน้ากล้องและพาหนังทั้งเรื่องออกนอกลู่นอกทาง แทนที่จะบ่นกระปอดกระแปดนอกฉากกับคณะทำงานและผู้ร่วมแสดงเหมือนหนูน้อยมินาแห่ง The Mirror ปานาฮีบอกคนดูใน This Is Not a Film ตรงๆ จากนั้นเขาตัดภาพกลับไประลอกการเล่าติดพันจาก The Mirror ปานาฮีในวัยที่ยังดูหนุ่มรับมือกับหนูน้อยด้วยการลากกล้องตามเก็บภาพแม่หนูขณะสะบัดก้นทิ้งกองถ่ายไ้ว้เบื้องหลัง ความเป็นไปช่วงนี้จบลงตรงการเฉลยว่าเราเห็นภาพเหตุการณ์เหล่่านั้นจากจอเครื่องรับโทรทัศน์ร่วมกับปานาฮีมาโดยตลอด กล้องบ่ายหน้าออกจากจอโทรทัศน์มาจับอิริยาบถปานาฮีเพ่งมองโทรทัศน์ไม่วางตา ทุกท่วงทีลีลาเหนือชั้นและแสนกล คนดูุดูปานาฮีที่กำลังเฝ้ามองปานาฮีตามติดหนูน้อยที่ได้รับบทมาอย่างหนึ่งแต่เล่นเป็นอีกอย่าง หนังเล่าหนังผ่านหนังที่เล่าถึงหนัง เมียร์ทาห์มาสบ์เพิ่งมีตัวตนเอาก็ตอนมีการเคลื่อนตัวของกล้องทั้งที่โดยส่วนใหญ่ของช่วงเวลาใน This Is Not a Film ปานาฮีก็ได้เขาคอยเป็นกำลังหลักเพราะเจ้าตัวไม่ขอถ่ายเนื่องจากไม่อยากละเมิดคำสั่งห้ามจากศาล
เรื่องราวชักจะซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นบทบันทึกเหตุการณ์หนึ่งวันในชีวิตผู้กำกับที่ถูกกักกันอยู่ในบ้านตัวเอง การอ้างอิงถึง The Mirror เป็นเพียงตาแรกของการเล่นลิงชิงหลักผ่านผลงานหนังของตัวเอง ยังมีงานที่ยังสร้างไม่เสร็จเพื่อสะท้อนผลสืบเนื่องต่อเจ้าตัวและศิลปะของการทำหนัง ให้หลังการ "ถอดหัวโขน" ปานาฮีขอให้เมียร์ทาห์มาสบ์จับภาพขณะเขา"ขึ้นรูป"บทหนังที่เขียนค้างตั้งแต่ก่อนมีคำสั่งห้ามมีผล ผู้กำกับเจ้าความคิด ไม่อาจลงมือผลิตงานเอง แต่กลับต้องจาระไนปมเรื่อง นำภาพนักแสดงหญิงที่เล็งไว้ว่าจะทาบทามให้สวมบทนำมาอวด กางพรมและขึงเทปกาววางพิกัดถ่ายทำและแจกแจงรายละเอียดการเดินกล้องเก็บฝีภาพและเหตุการณ์สืบเนื่อง ปานาฮีและเมียร์ทาห์มาสบ์ชงมุขว่านี่เป็นตัวอย่างผลงานแนวเบื้องหลังการถ่ายทำของผู้กำกับที่อดทำหนังแต่ขณะเดียวกันการตามรอยกระบวนการวางแผนไล่ตั้งแต่แรงบันดาลใจ กรรมวิธีแปรรูปคมคิดเหล่านั้นออกมาเป็นภาพและเค้าโครงการเล่าก็ชวนติดตามด้วยใจระทึก โศกนาฏกรรม ณ เบื้องหน้ากับความเป็นจริงที่ว่าภาพยนตร์ที่เขาก่อร่างไว้จะต้องพิกลพิการไปตลอดกาล ฉากเหตุการณ์ที่คละเคล้าระหว่างความกระปรี้กระเปร่าที่หลากบ่ามาจากความหลงใหลการบรรเลงฝีมือ การอุทิศตัวแก่งานสร้างสรรค์
บทที่ค้างอยู่นั้นมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่หญิงสาวผู้ถูกจองจำอยู่ในบ้านบุพการีผู้คร่ำครึ ช่างประจวบเหมาะกับสภาพการณ์ของปานาฮี นี่เป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่า เห็นที This Is Not a Film มีการวางแผนและตั้งเป้าไว้อย่างรัดกุม ยิ่งกว่าที่ผู้เล่ากะไว้แต่แรก ปานาฮีเขียนบทหนังเรื่องที่ว่าเสร็จก่อนถูกหมายห้ามจริงละหรือ หรือเขาปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อเป็นอุปลักษณ์แทนความอยุติธรรมที่ตนได้รับ แท้จริงแล้วนี่อาจเป็นสื่อเล่าเรื่องในลักษณะหินงอกหินย้อยและเอกภพย่อส่วน(microcosm)ของวงการหนังศิลป์ร่วมสมัยในอิหร่านซึ่งปานาฮีหาทางให้ความหมายและจุดพลุแจ้งพิกัดแก่เวทีโลก อภิภาพยนตร์(metacinematic)ที่สร้างจากใจ สลายเส้นแบ่งระหว่างเรื่องแต่งกับสภาพตามเนื้อผ้า เปิดโอกาสแก่ฝีมือนักแสดงสมัครเล่นผู้บังเอิญกำกับหนังเป็น อาจมีเหตุอันควรให้ตั้งแง่ว่าภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในหนังอาจได้มาจากการถ่ายทำภายในวันเดียว สังเกตได้จากเสียงพลุที่จุดตามการรณรงค์ให้ทุกวันพุธเป็นวันต่อต้านรัฐบาล จากนอกรัศมีการเล่าที่แว่วให้ได้ยินเป็นระยะ(ปานาฮีใช้ประโยชน์จากความเป็นไปในสนามฟุตบอลเป็นนาฬิกาเทียบเวลาแก่เหตุการณ์ในหนังในทำนองเดียวกันนี้มาแล้วกับ The Mirror และ Offside) แม้ว่าข้อมูลจากป้ายแจ้งตารางการถ่ายทำจะชวนให้อนุมานว่าหนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำ 4 วัน
อันที่จริงปานาฮีคงหมดใจแล้วที่จะจูงมือคนดูพาไปลัดเลาะลายแทงบทหนังของเขา แสดงความเห็นต่อการเล่าเหตุการณ์จากหนังเรื่องอื่นๆของเขา เขาจาระไนตามทัศนะศิลปินว่าหนังโดยเนื้อแท้แล้วคือ การจุติ(sui generis) เป็นปลายทางของกระบวนการที่ไม่อาจกะเกณฑ์ผล ครั้นไร้ซึ่งตัวแสดง ฉากหลัง กองถ่าย และกล้อง ก็เป็นไปไม่ได้ที่ปานาฮีจะถ่ายหนัง และก็จะไม่มีหนัง แต่เขาก็ลุแก่ความทะยานอยากในการกำกับ เพราะไม่อาจกำราบพลังที่พลุ่งพล่านในตัว ปานาฮีปฏิบัติพันธกิจลุล่วงไปแล้วในฐานะผู้กำกับ มอบชีวิตสุดระทึกแก่บทบาทต่างๆ เท่าที่สื่อพึงพลิกแพลงไปได้ กระนั้นเขาก็ยังถูกปิดปากอยู่ดี
ชื่อของหนังกลายเป็นโจทย์ที่ต้องขบให้ละเอียด ท้ายที่สุดในเมื่องานที่ออกตัว เคลื่อนตัว และขมวดตัว เมื่อชิ้นงานในระยะเวลา 70 นาทีเป็นสิ่งใดกันแน่หากไม่ใช่ผลงานภาพยนตร์ของปานาฮี เป็นการคารวะ รณรงค์ ประท้วง ร้องทุกข์
ปานาฮีและเมียร์ทาห์มาสบ์อุทิศงานชิ้นนี้แก่ผู้กำกับอิหร่านทั้งมวลผู้เป็นสมาชิกชุมชนศิลปะที่ได้ชื่อว่ารุ่มรวยและองอาจไม่เป็นรองที่ใดในโลกและต้องผจญกับการจองเวรจากรัฐ
ต่อให้คับแค้นกับความเป็นจริงเพียงใด พึงอย่าหลงลืมอนุสติที่ว่าหนังมีคุณค่ามากเพียงใด ให้เพียงหนึ่งเดือนหลังถ่ายทำ This Is Not a Film แล้วเสร็จ เมียร์ทาห์มาสบ์ก็ถูกจับกุมไปอีกราย สิทธิแห่งการยืนหยัดตามหลักเสรีภาพในการพูดถูกริบไปอีกหนึ่ง This Is Not a Film จบลงด้วยการเตือนสติ ขณะจดเท้าจะเดินออกจากตัวบ้าน ปานาฮีเฉลียวใจขึ้นมากว่าควรอยู่แต่ภายในเคหสถานจะดีกว่าออกไปเสี่ยงกับการถูกกล้องจับได้ว่าออกนอกเขต ห้ามประมาทกับโลกความจริงเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นสาระใดที่ผลงานอันเป็นวีรกรรมชิ้นนี้หมายมั่นจะส่งผ่านไปยังคนดู ก็ล้วนดูจะเดินทางไปถึงก่อนเวลาอันควร ดังอุทาหรณ์ที่เมียร์ทาห์มาสบ์มอบแก่เพื่อนใจเด็ดของเขาว่า "สำคัญก็ตรงที่กล้องยังเดินอยู่"
- จบ -
จักริน วิภาสวัชรโยธิน
แปลจาก
Wisniewski, Chris. "Man Without a Movie Camera".http://www.reverseshot.com/article/not_film