พื้นเพเปลี่ยนผัน ผู้คนซมซาน ในงานของเจี่ยฉางเค่อ ภาค 1

จาก ChulaPedia

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
 
(การแก้ไข 3 รุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล)
แถว 1: แถว 1:
 +
การจัดสรรพื้นที่แก่สภาพธรรมชาติและผลงานมนุษย์กับการเปลี่ยนกระบวนเล่าใน Still Life และงานอื่นๆ ของเจียฉางเค่อ
-
== สองชาติบนเส้นขนานประวัติศาสตร์ ==
+
เขื่อนสามผา(the Three Gorges Dam)บนทางไหลของแม่น้ำแยงซีซึ่งตามมหากาพย์แผนการดำเนินงานก่อสร้างจะต้องใช้เวลาตลอดทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 นั้น นำมาซึ่งความขัดแย้งขั้นรุนแรงระหว่างนักสิ่งแวดล้อม รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน และประชาชนหลายล้านคนในพื้นที่น้ำท่วมถึงเหนือเขื่อนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ อาณาบริเวณและความเป็นไปอันจะมีเขื่อนสามผาขึ้นมาแทนที่ตระหง่านง้ำคือฉากหลังของ Still Life งานจากค.ศ.2006 ของเจี่ยฉางเค่อ หนังติดสอยห้อยตามความเป็นไปอันยอกย้อนของคนสองคู่จากคนละฟากกำแพงเศรษฐกิจแห่งการเปล่ี่ยนผ่านสู่ชาติอุตสาหกรรมเต็มตัวของจีน ชีวิตตัวละครที่ขึ้นอยู่กับการสร้างสรรค์และทำลายล้างจากโครงการสร้างเขื่อน หนังยังยืมมือภาวะน้ำท่วมใหญ่ที่จะมาถึงอยู่รอมร่อทดสอบความซับซ้อนของสังคมเศรษฐกิจ ไปพร้อมกับพินิจพิเคราะห์ขีดจำกัดของมนุษย์ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จากการเปลี่ยนสัดส่วนการถือครองพื้นที่ระหว่างธรรมชาติกับผลงานมนุษย์
 +
หลังจากพลัดพรากกันไปสิบหกปี สองฝ่ายกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง พร้อมกับฝีภาพยาวเฉียบฉมัง หานซานหมิง และมิสซียังขัดๆเขินๆกันอยู่สองคนทอดหุ่ยอยู่บนตึกที่อยูในระหว่างทุบทิ้งผนังด้านหนึ่งทะลุเป็นโพรงใหญ่ พิกัดในกรอบภาพของคนคู่นี้ค่อนมาทางขวา มิสซียืนอยู่เบื้องซ้ายของฝ่ายชายซึ่งอยู่ในท่ากึ่งนั่งยองกึ่งคุกเข่า ค่อนไปทางซ้ายของพวกเขาคือ ทิวทัศน์ตัวเมืองเบื้องนอกที่ลอดผ่านช่องโหว่ของโพรงกำแพง มิสซีย่อตัวลงหน้าซานหมิงยื่นของกินให้เขา ฝ่ายชายสูบบุหรี่เรื่อยเปื่อย เสียงจากประกาศิตผู้เล่าในฝีภาพยาวที่กินเวลาร่วมนาทีนี้มีเพียงเสียแตรรถจากระยะไกลๆ และเสียงกิจกรรมต่างๆที่ลงกับตัวอาคาร แล้วตึกหลังเบ้อเริ่มที่เห็นไกลออกไปจากโพรงก็ทรุดตัวลง พ่นฝุ่นและเศษซากของชั้นที่พังพาบออกมา ตัวละครทั้งสองลุกขึ้นยืน หันไปยังต้นเสียงความวินาศที่สร้างความเลื่อนลั่นแก่ตัวเมือง ซานหมิงค่อยยื่นมือไปแตะแขนของมิสซีจากด้านหลัง
-
ฮังการีและโปแลนด์เคยทั้งร่วมหัวจมท้ายและแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมาในหน้าประวัติศาสตร์ แล้วปรมาจารย์ภาพยนตร์ทั้งสองชาติมองอดีตอันสมบุกสมบันเหล่านั้นผ่านงานภาพยนตร์ด้วยรูปแบบและโลกทัศน์เช่นไร
+
เทียบในปริบทใหญ่ของหนัง ฝีภาพนี้ถ่ายทอดถึงความล่มสลายของปัจจัยแปลกปลอมที่อาจรวมความถึงแรงงาน การอพยพ การค้ามนุษย์และความพินาศด้านสิ่งแวดล้อม อันเป็นผลจากแนวทางการจัดระเบียบการใช้พื้นที่อันเดิมสิ้นอายุขัยลงเพราะการมาของเขื่อนสามผา บ้านเดิมของมิสซีนั้นจมบาดาลไปแล้วเพราะระดับน้ำที่สูงขี้นเรื่อยๆ เคราะห์ซ้ำเธอยังตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ เพราะซานหมิงได้เธอมาด้วยการซื้อตัว ซานหมิงถึงจะยังตัดใจไม่ได้ ก็คงได้แต่หอบหิ้วเมียแปลกหน้าซมซานกลับไปทำงานในเหมืองที่บ้านเกิดหาเงินไถ่ถอนภรรยา  ความทุกข์ยากแค้นของตัวละครเป็นเหมือนโรคประจำถิ่นทางเศรษฐกิจ พวกเขาถูกบีบด้วยเงื่อนไขจากสภาพแวดล้อมให้ต้องย้ายถิ่นและส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเผิ่งจีและภาวะเศรษฐกิจในยุคอุตสาหกรรมของจีน
 +
เจี่ยรวบยอดแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมมาชำระความรวดเดียวใน Still Life เจี่ยตั้งปณิธานตั้งแต่แรกเข้าสู่เส้นทางกำกับหนังที่จะตีแผ่ผลพวงของการโตวันโตคืนทางเศรษฐกิจของจีน ความหลงใหลได้ปลื้มกับโลกาภิวัตน์ และวิบากกรรมของมนุษย์จากการชำเราสิ่งแวดล้อม ร่องรอยความล้มเหลวของมนุษย์ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-เศรษฐกิจในสังคมปัจจุบันที่ตกเป็นลูกไล่ของพลังของการเล่นพรรคเล่นพวก มีรัฐหนุนหลัง โยงใยทั่วโลก และขูดรีดข่มเหงผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจ เหล่านี้ไม่เคยรอดพ้นสายตาจับผิดของเจี่ย เหนือสิ่งอื่นใด หนังของเจี่ยเป็นเครื่องมือวิพากษ์การนำเสนอภาพความเปลี่ยนแปลงการแบ่งสรรพื้นที่ีระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ตามความเชื่อมักง่าย โดยผลักดันขีดจำกัดของการเล่าและงานสารคดีออก ไปเพื่อเผยให้้เห็นช่องโหว่ขุมข่ายความคิดในการทำความเข้าใจภาพรวมการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศขนานใหญ่
-
ประวัติศาสตร์บนเส้นขนาน(A parallel history of two nations)
+
งานเขียนชิ้นนี้มุ่งตีความผลงานของเจี่ยฉางเค่อเพื่อหาหลักฐานการใช้หนังเป็นเครื่องมือบรรยายความเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนการถือครองพื้นที่ เจี่ยในฐานะผู้กำกับย่อมสร้างงานภายใต้อิทธิพลที่แทรกซึมอยู่ในตัวเขา ภูมิลำเนาของเขามีบทบาทในฐานะตัวบทเชิงขุมข่ายความคิดแรกๆ ในชีวิตการกำกับหนัง เจี่ยยังเจนจัดในการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลทั้งแบบก้าวล้ำและตามอัตภาพเพื่อสร้างสรรค์และเรียกความสนใจสู่ตัวงานของเขา การทำความเข้าใจกับ เป็นไปเพื่อใช้เป็นความคิดพื้นฐานในการตีความ Still Life งานยุคปี ค.ศ.2006 จะอาศัยการทำความเข้าใจงานยุคต้น ใน 3 มุมมอง ได้แก่ ความนับเนื่องของผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่รับรู้ร่วมกันในหมู่ผู้พลัดที่นาคาที่อยู่ วิกฤติของการให้ความสำคัญที่สะท้อนผ่านกระบวนการเลือกแสดงความหวนไห้อาลัยของเจี่ย และท่วงทีของหนังในการทลายศูนย์อำนาจในการตีค่าความหมายของคำว่าบ้านและพลัดที่นาคาที่อยู่ ในส่วนบทสรุปจะนำ Dong ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฝดในภาคสารคดีของ Still Life เข้ามาเปรียบเทียบเพื่อแจกแจงกระบวนการสลายเส้นแบ่งระหว่างการเล่าหนังกับสารคดี งานของเจี่ยชี้ให้เห็นข้อจำกัดของการลำดับเหตุผลเพื่อให้ภาพรวมความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์และร่วมหัวจมท้ายกับท่วงทีการสาธยายการใช้พื้นท่ี่ร่วมกันระหว่างธรรมชาติกับผลงานมนุษย์
-
"โปล ฮังกาเรียน บ้านพี่เมืองน้อง/มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน" ภาษิตเก่าแก่ตกทอดปากต่อปากอยู่ในภาษาของสองชาติ แม้จะน้อยถ้อยด้อยคำแต่อัดแน่นด้วยอารมณ์และประสบการณ์จากประวัติศาสตร์ที่เปรียบดั่งสายใยเชื่อมโยงชาติใจกลางยุโรปทั้งสองนี้ไว้ด้วยกันตราบนานเท่านาน ยากจะหารัฐชาติคู่ใดล้มลุกคลุกคลานผ่านร้อนผ่านหนาวร่วมกันมาในประวัติศาสตร์ดังเช่นฮังการีและโปแลนด์
 
-
ความพ้องพานและผิดแผกที่ฮังการีและโปแลนด์พานพบบนทางขนานของประวัติศาสตร์นับเป็นผ้าใบผืนเยี่ยมแก่การรองรับผลงานจากศิลปินเอกของสองชาติ มิโคลส แยนโช(Miklós Jancsó) และ อันเดรส วาดา(Andrzej Wajda) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำผลงานภาพยนตร์จากฝ่ายละ 2 เรื่องมาเปรียบประกบกันเป็นคู่ ๆ อันได้แก่ Szegénylegények (The Round-up, ค.ศ.1965) และ Csillagosok, katonák(The Red and the White, ค.ศ.1967) ของแยนโช กับ Kanał (งาน ค.ศ.1956) และ Popiół i diament (Ashes and Diamonds, งานค.ศ.1958) ของวาดา แต่ก่อนจะเข้าเรื่องหนังควรเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไว้เป็นแนวทาง
+
ภูมิลำเนา ส่วนผสมผลงานธรรมชาติกับมนุษยกรรม และ เทคโนโลยี
-
ฮังการีและโปแลนด์ตั้งมั่นเป็นอาณาจักรปกครองตนเองในเวลาไล่เลี่ยกันในศตวรรษที่ 10 โดยสวามิภักดิ์ต่อคริสตจักรเพื่อสร้างความชอบธรรมและการยอมรับจากชาติอื่น ๆ ครั้นปลายยุคกลางอาณาจักรทั้งสองตกที่นั่งเป็นรัฐกันชนระหว่างอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กับชนเผ่านอกรีตด้านใต้และทางตะวันออก ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญการโจมตีจากทัพมองโกล แถมยังมีพวกเติร์กคอยรุกราน
+
เจี่ยคือหนึ่งในลูกหลานจีนรุ่นใหม่ที่เป็นแนวรับแรงปะทะแรกๆ จากคลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมชนิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในแผ่นดินใหญ่ เขาสร้างงานด้วยอานิสงส์และการต่อรองกับหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นมาตรการกีดกันจากรัฐและความนับถือจากวงการภาพยนตร์นานาชาติ/ในจีน เจี่ยเกิดเมื่อ ค.ศ.1970 ที่เมืองเฝิ่นหยาง มณฑลชานสี บ้านเกืดเมืองนอนมีอิทธิพลสูงยิ่งในการเล่าเรื่องในงานหลายต่อหลายชิ้นของเขา แม้เฝิ่นหยางจะไม่ได้มีวัตถุดิบมากมาย แต่เขาก็กลับไปหาบ้านเสมอ ความเชื่อของเจี่ยที่ว่าคติในเรื่องบ้านมีส่วนสำคัญในเชิงเป็นเบ้าหลอมความเข้าใจต่อโลกของคนทั้งในแง่ความรู้สึกและเหตุผล สะท้อนผ่านการให้สัมภาษณ์ต่างกรรมต่างวาระ
-
ในยุคเรอเนอซองส์ ฮังการีผนึกกำลังกับโปแลนด์เป็นพันธมิตรทางการเมืองอันทรงพลานุภาพ ราชวงศ์ยากีโลเนียน(Jagiellonian dynasty)ขยายเขตอิทธิพลพันธมิตรแกนคู่จรดทะเลบอลติกทางทิศเหนือ และจรดทะเลดำทางทิศใต้ผงาดขึ้นเป็นอาณาจักรใหญ่ที่สุดในยุโรปอยู่ร่วมสองร้อยปี พลเมืองอันมีทั้งเชื้อชาติสลาฟ ฮังกาเรียน โรมาเนียน มอลดาเวียน เยอรมัน และ ชนเผ่ามุสลิม ต่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้เสถียรภาพทางการเมือง และเศรษฐกิจอันแข็งแกร่ง รวมถึงขันติธรรมในการนับถือศาสนา หลังสิ้นราชวงศ์มีการเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบราชาธิบดีและประวัติศาสตร์มีอันกลับตาลปัตร เพราะตำแหน่งกษัตราธิราชองค์สุดท้ายกลับตกเป็นของ เจ้าชายสเตฟาน(อิสวาน) โบทารี(Stefan (István) Batory) หน่อเนื้อของราชวงศ์ฮังการี
+
การเรียกขานงานความยาวมาตรฐาน 3 ชิ้นแรกที่ผลิตนอกระบบรวมๆกันว่าไตรภาคบ้านเกิด(The Hometown Trilogy) ก็มาจากเหตุผลดังกล่าว การเล่า The Pickpocket (Xiao Wu)งานความยาวมาตรฐานชิ้นแรกของเจี่ยจากค.ศ.1997 โดยถ่ายจากสถานที่จริง กลายเป็นบัญญัติขุมข่ายความคิดครอบงำงานชั้นหลังๆ เรื่อยมา เดิมทีเจี่ยตั้งใจให้บันทึกการเดินทางกลับไปเยือนบ้านเกิดในรูปหนังชิ้นดังกล่าวมีความยาวเพียง 30 นาทีแต่ที่บานปลายกลายเป็นงานขนาดยาวโดยฉับพลันก็เพราะเฝิ่นหยางเปลี่ยนไปผิดหูผิดตานับแต่เจี่ยจากไปเรียนภาพยนตร์ที่ปักกิ่ง จนอดไม่ได้ที่จะต้องจารึกความเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการครองพื้นที่ระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ในชั่วระยะเวลาอันสั้น
-
ล่วงเข้าคริสตศตวรรษที่ 17 กลียุคและความพินาศก็มาเยือน ยุโรปตอนกลางอ่อนแอลงเป็นลำดับ ไหนจะมีศึกติดพันอยู่กับรัสเชีย ชาวนายูเครนก็ลุกฮือไม่รู้จักหยุดหย่อน การแผ่อิทธิพลสู่ตะวันตกของพวกเตอรกีก็มีผลลามมาจนถึงแถบนี้ ช่วง ค.ศ.1659 - 65 ชนเผ่าสวีดิชก็รณรงค์เพื่อปลดแอกตนเอง โปแลนด์ตกที่นั่งหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่ฮังการีตกระกำลำบากสาหัสกว่าหลายเท่า ไล่ตั้งแต่ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกอ็อตโตมันเติร์ก ตามด้วยความย่อยยับจากน้ำมือออสเตรียและต้องอยู่ใต้แอกราชวงศ์แฮบสเบิร์กตั้งแต่นั้นมา ฮังการีและโปแลนด์สิ้นชื่อไปจากแผนที่ภูมิศาสตร์การเมืองของยุโรปพร้อมกับคริสตศตวรรษที่ 18 ฮังการีมีฐานะเหลือเพียงเป็นจังหวัดเล็ก ๆ กระหนาบด้วยชนเผ่าต่าง ๆ ภายใต้ร่มธงจักรวรรดิออสเตรีย ส่วนโปแลนด์ถูกเฉือนเป็นสามเสี้ยว แยกไปอยู่ใต้อำนาจของรัสเซีย ปรัสเซีย และ ออสเตรีย ฐานภาพทั้งสองชาติตกต่ำแทบเลือนหายจากหน้าประวัติศาสตร์ตลอดยุคมืด ถึงคริสตศตวรรษที่ 19 สงครามนโปเลียนมาปลุกความหวังให้เรืองรองก็จริง แต่ก็นำความย่อยยับมากกว่าหลายเท่ามาด้วย แถมยังทิ้งปัญหาค้างคาหมักหมมต่อไป การลุกฮือกู้ชาติหลายต่อหลายครั้งจบลงด้วยการปราบปรามอย่างเหี้ยมโหด มีเพียงอิสรภาพชั่วครู่ชั่วยามอันเป็นผลจากความผันผวนของสถานการณ์ทางการเมืองเป็นน้ำทิพย์ชุบชูจิตใจ แม้มีการอภิวัฒน์ "มวลชนแห่งฤดูใบไม้ผลิ"มาจุดประกายความหวังแต่ก็จบลงด้วยความหดหู่ แต่สถานการณ์ก็สร้างวีรบุรุษผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจทั้งชาวโปลและฮังกาเรียนขึ้นมาหนึ่งราย คือ นายพลโยเซฟ เบม(Józef Bem) ผู้นำกองกำลังกู้ชาติชาวโปลซึ่งหลบหนีการปราบปรามจากฝ่ายนิยมซาร์แห่งรัสเซียออกจากวอร์ซอวภายหลังการก่อหวอดใน ค..1831 ในกาลต่อมานายพลเบมผู้นี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงโค่นล้มลายอส คอสซูท(Lajos Kossuth)ลงจากบัลลังก์อำนาจเหนือบูดาเปสต์ [http://wp.me/p4vTm-fK  อ่านทั้งหมด]
+
ทันทีที่สิ้นสุดขั้นตอนการขึ้นชื่อเรื่องและแนะนำหนัง หนังบรรยายท้องที่เหตุการณ์และการกลับสู่ภูมิลำเนาของตัวละครหลักผ่าน 4 ฝีภาพ ฝีภาพแรกเป็นภาพการจุดไม้ขีดไฟจากระยะใกล้ ฝีภาพถัดมาเปลวจากก้านไม้ขีดไฟเดินทางไปเผาไหม้ปลายมวนบุหรี่ที่ชายคนหนึ่งคาบอยู่ บนกล่องไม้ขีดปรากฏอักขระจีนคำว่า Shan Xi บ่งบอกว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในจังหวัดบ้านเกิดของเจีย ฝีภาพถัดมาเป็นภาพระยะไกลเผยให้เห็นชายเจ้าของบุหรี่ยืนอยู่ข้างถนน ในฝีภาพที่ 4 จากกล้องในทิศย้อนศรจับภาพจากด้านหลังของเสี่ยว วู(Xiao Wu) เผยให้เห็นว่าตัวละครหลักผู้นี้ยืนรอรถประจำทางอยู่ เบ็ดเสร็จแล้วเจี่ยใช้เวลาเพียง 20 วินาทีหลังสิ้นสุดการเปิดเรื่อง ในการทั้งจัดแจงฉากหลังและนำพาตัวละครหลักของก็กลับสู่ภูมิลำเนา จากนี้ไปเสี่ยว วูจะได้ลิ้มรสชาติของความยุ่งยากจากการคืนถิ่น เป็นการเดินทางอันระหกระเหินบิดเบี่ยงของลิ่มคลื่นความลำบากใจเมื่อครั้งเจี่ยกลับมาบ้านที่เฝิ่นหยางหลังไปเรียนที่ปักกิ่งอยู่หลายปี เจี่ยถ่ายทำ Pickpocket แล้วเสร็จใน 21 วัน เขาผลิตงานชิ้นนี้ในระบบ 16 ม.. ภาพหนังมีทั้งมาจากกล้องมือถือ ฝีภาพยาว(long take) และฝีภาพไล่สำรวจ(tracking shot)เพื่อถ่ายทอดความเสื่อมโทรมของสถาปัตยกรรมในท้องถิ่น(ดังปรากฏอักขระตัว ไค ตามตึกที่ถูกหมายหัวรอวันถูกทุบ)
 +
งานด้านเสียงของฝีภาพโดดเด่นด้วยสรรพสำเนียงอึกทึกตามประสาเมืองทั้งน่ารำคาญและคุกคามความรู้สึก ฝีภาพตามสำรวจความยาวหนึ่งนาทีถัดมาจะเป็นภาพขณะเสี่ยว วูนั่งซ้อนท้ายจักรยานเตร็ดเตร่ แม้ศูนย์เล็งของภาพจะอยู่ที่ชายสองคนบนรถจักรยาน แต่ตลอดรายทางที่พวกเขาปั่นไปถึงจะมีภาพซากปรักหักพังของกำแพง ร้านรวง ผู้คน ลานจอดจักรยาน ป้ายบอกทาง องค์ประกอบความเป็นเมืองสารพัดผันผ่านเข้ามา โดยถ่ายทอดสารรูปของสิ่งเหล่านี้ออกมาเสมอจริง คนบนรถจักรยานต้องตะเบ็งเสียงคุยกันแข่งกับเสียงแจ้งข่าวสารประชาสัมพันธ์จากลำโพง ภาพและเสียงของเมืองคอยบดบังความสำคัญของตัวละครทั้งสองโดยตลอด
-
== การอ้างอิงประวัติศาสตร์แบบวัวพันหลัก(The centrifugal axis of historical reference) ==
+
อีกฉากหนึ่ง เจี่ยเล่นงานตัวละครหลักของเขาอีกขนาน คราวนี้ยืมมือสถาปัตยกรรมภายใน ต้นสายปลายเหตุของฉากนี้มาจากเพื่อนในเมืองเอาด้วย เสี่ยว วู จึงเข้าไปเที่ยวร้านคาราโอเกะตามลำพัง เหมย เหมย สาวเชียร์เพลงเข้ามาตีสนิทและชวนเขาร้องเพลงด้วยกัน เสี่ยว วู ประหม่า บ่ายเบี่ยง อ้างว่าตัวเองร้องเพลงไม่เอาไหน เสี่ยว วูเก็บเนื้อเพลงท่อนของฝ่ายชายดังกล่าวมาขับขานในห้องอาบน้ำตามลำพังในฝีภาพความยาวสองนาทีถัดมา พอเสี่ยว วูเริ่มร้อง กล้องก็ค่อยเชิดหน้าขึ้นเก็บภาพจนหัวของเสี่ยว วู หลุดลงไปจากกรอบภาพ มีแต่ผนังห้องอาบน้ำส่วนที่อยู่สูงขึ้นไป 30 วินาทีสุดท้ายของฉากคือการขับกล่อมเพดานโรงอาบน้ำด้วยบทเพลงกังวานก้องจากเสียงร้องของจากชายหนุ่ม
-
ระดับความเข้าใจต่อบริบททางสังคมวิทยา-การเมือง(socio-political context)ของผู้ชมและการกรองเก็บสาระสำคัญถือเป็นหนึ่งในปัญหาพื้นฐานในการรับชมภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศเล็ก ๆ หรือไม่เป็นที่รู้จัก พอมีการอ้างถึงชาติหรือประเทศ คนส่วนหนึ่งจะด่วนเหมาว่าต้องเป็นเรื่องตามพงศาวดารหรือไม่ก็พลิกผันเป็นเรื่องของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และการปกป้องมาตุภูมิ การตั้งป้อมเช่นนี้ไม่อยู่ในขอบเขตการประยุกต์เข้ากับงานที่จะยกมากล่าวถึง เพราะทั้งฮังการีและโปแลนด์ไม่ถือว่าเป็นชาติมหาอำนาจ หรือทรงอิทธิพล อีกทั้งเหตุการณ์ในต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ที่เป็นฉากหลังในงานของแยนโชและวาดาก็ล้วนแล้วแต่ยากจะจับต้นชนปลาย เหมือนจับพลัดจับผลูอุบัติขึ้น ณ ชายขอบของมรสุมทางการเมืองที่โหมกระหน่ำยุโรปอยู่
+
ในงานชิ้นที่สองของเจี่ย คือ Platform (Zhantai)ซึ่งออกฉายในปีค.ศ.2000 นั้นห้าวหาญยิ่งกว่า Pickpocket  กับการเจาะลึกรายละเอียดสภาพความเปลี่ยนแปลงในเฝิ่นหยางช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1990  หนังไล่เรียงพัฒนาเล่าความเป็นไปในยุคสมัยดังกล่าวผ่านมุมมองตัวละครหลัก 4 ตัวที่มีชีวิตโลดแล่นคาบเกี่ยวกับในคณะการแสดง เริ่มต้นจากการแสดงชุดสดุดีประธานเหมาและจบลงด้วยการแปรสภาพเป็นวงรวมดาวขาร็อคขาแด๊นซ์เลื่องชื่อแห่งเสิ่นเจิ้น ชีวิตของตัวละครเคลื่อนคล้อยไปตามสภาพความผันแปรทางสังคม-การเมือง และเศรษฐกิจที่แผ่มาถึงถิ่นฐานบ้านเกิด ดังจะเห็นได้จากการรณรงค์นโยบายมีลูกคนเดียว และทั้งเมืองมีไฟฟ้าใช้ หนังทิ้งทวนด้วยคำถามที่ว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านำพาสิ่งใดมาสู่ปัจเจกและวัฒนธรรม หรือแม้แต่ในระดับจิตสำนึก ฉากสุดท้าย เหมือนจะไม่เข้าข้างการค้นหาคำตอบ
-
จากลักษณะร่วมประการหนึ่งของหนังทั้ง 4 เรื่อง ที่จะกล่าวถึงข้างหน้า อันได้แก่ การกล่าวถึงปมขัดแย้งชนิดไฟสุมขอนในดินแดนไกลปืนเที่ยงโดยมีความขัดแย้งระดับโลกห่อหุ้มอยู่เพียงหลวม ๆ ดังนั้น การบ่มเพาะสำนึกต่อสภาวะไร้ที่พึ่ง ไร้การเหลียวแลและอยู่นอกสารบบยุทธศาสตร์ของพื้นที่ชายขอบ โดยอาศัยการเคลื่อนครอบกรอบอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ถึงสองชั้น(จากระนาบเวทีโลกสู่ระนาบภายในประเทศ และจากระดับประเทศสู่เหตุขัดแย้งในท้องถิ่น)จึงเป็นเรื่องน่าสำรวจศึกษายิ่ง การสังเคราะห์รูปการเล่าขึ้นจากลักษณะเสมอจริง และสัญลักษณ์นามธรรม(synthesis of extreme realism and symbolic abstraction)ของหนังประสบก็ความสำเร็จน่าชื่นชม แต่ก่อนจะเจาะลึกสู่เส้นทางลำเลียงทวนสัญญาณผังความคิด(system of thematical distancing)ในหนังทั้งสี่เรื่อง สมควรทำความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ของหนังทั้งสี่เรื่องเสียก่อน  [http://wp.me/p4vTm-oJ อ่านทั้งหมด]
 
 +
หนังส่งท้ายด้วยฝีภาพยาวขนาดสองนาทีบรรยายสภาพบ้านเรือน และชีวิตคู่ของตัวละครหลักสองคนที่ปลงใจออกเรือนจนมีลูกด้วยกัน ฝ่ายหญิงหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น กล่อมกระเตงลูกน้อยไปพลางติดไฟต้มน้ำไปด้วย ขณะที่ฝ่ายชายนั่งเต๊ะจุ้ย ซังกะตายกับมวนบุหรี่ที่กวัดไหวในมือ  บ้านเซ็งแซ่โกรกกรากด้วยเสียงจากเตา แม่พล่ามกับลูก เสียงเด็กจากอาณาบริเวณบ้านนอกรัศมีการเล่าแทรกเข้าผสมโรง ก่อนจะถูกกลบโดยเสียงประกอบย้ำดุกร้าวจะแผดดังขึ้นเรื่อยๆ แม้ภาพจะเลือนดับไปแล้ว เสียงอึงคนึงดังกล่าวยังพันตูกับเสียงจากท้องเรื่องต่อไปอีกราว 10 วินาทีถึงจะราข้อ  Platform จบลงไปพร้อมศรัทธาที่สูญสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับภาพตัวแทนชีวิตหนุ่มสาวที่แก่แดดแก่ลมไปถนัดใจด้วยน้ำมือยุคปฏิรูปแบบฉับพลัน
 +
ความรุดหน้าของเทคโนโลยีและสังคมส่งผลกระทบต่อเจี่ย ฉาง เค่อ เช่นเดียวกับตัวละครในงานของเขา ผิดแต่เพียงเจ่ียรู้จักใช้เงื่อนไขเหล่านั้นเพื่อประโยชน์ในทางการผลิตและเผยแพร่ผลงาน |<เจี่ยได้ชื่อว่าเป็นคนทำหนังอิสระรุ่นใหม่ที่สมาทานการปฏิวัติดิจิทัลมาเป็นขุมกำลังหลักแห่งความสำเร็จและการบุกเบิกคิดค้น/>|
 +
เจี่ยระบุถึงคุณูปการใน 3 ลักษณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีต่อกระบวนการผลิตและสถานะของผู้กำกับรุ่นใหม่ในจีน ตลอดลำหักลำโค่นของคนดูชาวจีนไว้ในบทความ Trois Revolution ของกาเยส์ ดู ซีนีมาดังนี้
 +
• กล้องดิจิทัลเพิ่มความสะดวกแก่ผู้กำกับรุ่นใหม่เป็นอันมากในการถ่ายทำ และขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงเรื่องราวที่ต้องการถ่ายทอด
 +
• ความแพร่หลายของสื่อ DVD ในจีน(โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ลักลอบผลิต) กลายเป็นสายพานยักษ์ลำเลียงผลงานของผู้กำกับรุ่นใหม่สู่ตลาด ขณะเดียวกันก็เพิ่มรสนิยมและเขี้ยวเล็บการดูหนังของคอหนังชาวจีน
 +
• อินเทอร์เน็ตเปิดพื้นที่สาธารณะให้คนรักหนังรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์
-
== ดักดานตราบลมปราณหาไม่ (The centripetal descent into death) ==
+
วิวัฒนาการทางภาพยนตร์ทั้งสามภาคีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีคุณูปการใหญ่หลวงต่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดของคนทำหนังรุ่นใหม่ในจีน แม้จะยอมรับว่ายังมีข้อจำกัดในการทำงาน แต่การถ่ายทำด้วยกล้องดิจิทัลก็นำมาซึ่งเสรีภาพในการทำงาน ทั้งยังบุกเบิกเส้นทางสุนทรียะ  ผลงานลำดับสามของเจี่ยในไตรภาคบ้านเกิดของเจี่ยออกฉายในค.ศ.2002 ในชื่อ Unknown Pleasure(Ren Xiao Yao) ผลิตในระะบบดิจิทัลล้วนๆ เพื่อถ่ายทอดการผจญภัยของสองเพื่อนรักคือ ปิน ปิน(Bin Bin)และ เสี่ยวไจ๋(Xiao Ji) กับพฤติกรรมขวางโลกตามถนนรนแคมไปวันๆ ในจังหวัดต้าถง(Datong)  สองคนนี้เป็นผลผลิตจากนโยบายเปิดประเทศของเติ้ง(เสี่ยว ผิง - -Deng X P) ไม่เคยรับรู้อดีตสมัยเหมา(เจ๋อ ตง - - Mao Ze Tong) สองคนโตมาในครอบครัวเดี่ยว ไม่ทำงานทำการ ข่าวความคืบหน้าสถานการณ์อุบัติเหตุเครื่องบินขับไล่ของจีนชนกับเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐในน่านฟ้านอกชายฝั่งไหหนานในค.ศ.2001 แทรกเข้ามาในหนังเป็นระยะ สุดท้ายเมื่อชีวิตไม่เป็นดังฝันและได้ฉากเปิดเรื่อง Pulp Fiction มาจุดประกาย สองหนุ่มตกลงใจปล้นธนาคาร ตามแผนปินปินจะบุกเข้าไปพร้อมระเบิดปลอม ส่วนเสี่ยวไจ๋จะติดเครื่องมอเตอร์ไซค์รอท่าอยู่ด้านนอก แต่แผนก็ล่มไม่เป็นท่า ปินปินถูกจับ เสี่ยวไจ๋หนีไปได้แต่มอเตอร์ไซค์ก็ไปตายอยู่บนทางด่วน
-
(Kanał, 1957 และ Szegénylegények, 1965)
+
ยุคเปลี่ยนผ่าน ณ ทศวรรษ 1980 ของจีนแผ่นดินใหญ่บันดาลทั้งความสับสนและหวนไห้อาลัยแก่เจี่ย  งานของเจี่ยยังนับเป็นสำนึกต่ออิทธิพลของโลกานุวัตน์ในช่วงเปลี่ยนสหัสวรรษ หลักแหล่งของเจี่ยอันคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างภูธรกับสากลเป็นชัยภูมิชั้นเยี่ยมในการสังเกตการณ์อิทธิพลของโลกานุวัตน์ต่อผู้คนในท้องถิ่น  งานขนาดยาวมาตรฐานลำดับที่สี่ของเจี่ยคือ The World ออกฉายในค.ศ.2004 ตามประชดประชันทุกอณูภาวะโลกานุวัตน์ หนังใช้สวนสนุกแนวเมืองจำลองแห่งหนึ่งในปักกิ่งเป็นฉากหลัง เช่นเดียวกับงานก่อนๆหน้า เจี่ยเล่าเรื่องราวโดยคำนึงถึงภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมเป็นสำคัญ เนื้อเรื่องของ The World เหมือนจะเป็นเบี้ยล่างของโวหารภาพ สวนสนุกเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างจำลองสถานที่สำคัญๆ ของโลก ไม่วาจะเป็นหอไอเฟล หอเอนเมืองปิซา  เต๋าตัวเอกทำงานเป็นนักแสดงนาฏลีลาประจำสวนสนุก ไต้เฉิงทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของสวนสนุก ไต้เฉิงอพยพมาจากชานสีเช่นเดียวกับพนักงานสวนสนุกรายอื่นๆ แต่การถ่ายเทประชากรด้วยเหตุผลของการหาเลี้ยงชีพไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศ แต่ขยายขอบข่ายไปสู่ระดับนานาชาติ เพราะสวนสนุกก็มีลูกจ้างหน้าใหม่ที่เป็นรัสเซียชื่ออันนาอยู่ในคณะแสดงนาฏลีลาด้วย สองสาวเลยกลายมาเป็นเพื่อนกัน อันนาออกจากงานไปตามหาญาติ และตอนหลังก็ต้องไปเป็นโสเภณี ความเป็นไปในโลกแห่งนี้สำเนามาจากสภาพความเป็นจริงของโลกยุคโลกานุวัตน์
-
[1] โครงสร้างการเล่าและการหล่อหลอมตัวละคร
+
กว่าจะก้าวผ่านไตรภาคบ้านเกิดมาสู่ The World เส้นทางการเป็นผู้กำกับของเจี่ยผ่านหน้าไพ่ความเป็นไปได้อันหลากหลาย เช่นเดียวกับผู้กำกับรุ่นที่หกรายอื่นๆ ที่สร้างงานโดยไม่รับการอุปถัมภ์จากระบบโรงถ่ายของรัฐ และไปสร้างชื่อผ่านการนำผลงานไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ แต่กับ The World เจี่ยเดินเรื่องผ่านสำนักภาพยนตร์ ต่อข้อสงสัยต่อเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ิ เจี่ยตอบว่า "ผมไม่ได้เปลี่ยน แต่สภาพแวดล้อมของคนทำหนังชาวจีนต่างหากที่เปลี่ยน ตั้งแต่ปีที่แล้ว(ค.ศ.2003)แล้วละ  กลุ่มคนทำหนังรุ่นใหม่พูดคุยกับสำนักภาพยนตร์มากขึ้น ต่อรองเพื่อเพิ่มเสรีภาพ และสร้างบรรยากาศการสร้างงานที่ผ่อนคลาย มาในปีนี้ทางสำนักฯจึงออกนโยบายใหม่ๆ มาหลายเรื่อง" เจี่ยกล่าวต่อโดยยกตัวอย่างนโยบายการตรวจพิจารณาผลงาน "จากเดิมหนังทุกเรื่องต้องผ่านความเห็นชอบโดยจากสำนักภาพยนตร์ แต่จากนั้นเป็นต้นมาก็มีการกระจายอำนาจไปยังคณะกรรมการระดับมลฑลเพื่อให้ความเห็นชอบการนำหนังออกฉาย จากที่มุ่งอยู่กับบ้านเกิด พอเปลี่ยนจากการทำงานอิสระไปสู่การเห็นชอบโดยรัฐ เจี่ยก็ปรับสัดส่วนขุมข่ายการเพ่งเล็งไปสู่โลกทั้งใบ ดูจะกลับตาลปัตรเอาการ มีอย่างที่ไหน ในการเล่าความเป็นไปในพื้นเพตนเองแท้ๆ เขาต้องหลบเลี่ยงหูตารัฐบาล แต่พอเป็นพื้นที่นอกอธิปไตยกลับผ่ามาขอไฟเขียวจากรัฐ
-
ผลงานของแยนโชและวาดาโดยภาพรวมเข้าข่ายเป็นงานแนวคิดอัตถิภวนิยมก็จริง แต่ในบางแง่มุม แก่นความคิดวัวพันหลักในสุดยอดงานประวัติศาสตร์ของผู้กำกับทั้งสองก็ออกฤทธิตัดตอนหนังมิให้เจริญไปเป็นงานมหากาพย์ และเน้นรายละเอียดจากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของผู้คนในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานด้วยสายตาเป็นกลาง จากการสำรวจข้อปลีกย่อยในงานของวาดาและแยนโชเพื่อวางกรอบการวิเคราะห์เนื้อหาพบว่า ในท่ามกลางความแตกต่างมากหลาย ก็ยังมีความเหมือนบางเสี้ยวโผล่ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าจนพอจะถือเป็นจุดยืนร่วมกันของผู้กำกับทั้งสอง การจำแนกตัวละครเอกในงานภายใต้แก่นความคิดว่าด้วย"ปุถุชนผจญคลื่นประวัติศาสตร์"มีด้วยกันหลายตำรับและจัดแบ่งไว้หลายจำพวก แต่ส่วนใหญ่แล้วตัวเอกเหล่านี้มักเป็นประเภทปลาว่ายทวนน้ำ ทรนงในศักดิ์ศรี ไม่ก็ยึดมั่นในมนุษยธรรม ในการเดินเรื่องผ่านตัวละครจำพวกนี้ มักมีโครงสร้างการเล่าเพื่อฉายภาพสัตว์พยศหนีการไล่ล่าสุดชีวิตคอยเป็นใจ โดยที่สัตว์พยศนั้นยังพร้อมจะเอาชีวิตเข้าแลกกับพันธกิจที่หมดความหมายไปแล้ว โลก ของ Kanał และ Szegénylegények มีสภาพเหมือนกับดับและป่าเถื่อน ชื่อหนัง Szegénylegények นั้นมีความหมายว่า คนสิ้นหวัง ตัวละครเอกจะค่อย ๆ สูญเสียศรัทธาไปเรื่อย ๆ และได้แต่ทู่ซี้พาตัวเองรนหาที่ตายในกับดักไร้ปราณีของประวัติศาสตร์ พัฒนาการคู่ขนานดังกล่าวถือเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการฉายภาพเทียบแย้ง นอกจากนี้แล้วหนังทั้งสองเรื่องยังมีส่วนคล้ายกันอีกหลายประการ ได้แก่
+
จักริน  วิภาสวัชรโยธิน
 +
แปลจาก
-
ประการแรก ตัวชูโรงในหนังทั้งสองเรื่องเป็นกลุ่มบุคคล เพศชาย ไม่มีใครโดดเด่นเหนือใครไม่ว่าในแง่ท่าทีการบรรยายสรรพคุณ หรือความถี่ในการปรากฏตัวบนจอ แม้ว่าใน Kanał จะมีการระบุชั้นยศสายบังคับบัญชาในหมู่โปลดำดินไว้ชัดแจ้ง ขณะที่ใน Szegénylegények ของแยนโชนั้น ไม่มีการแจกแจงว่าในกลุ่มชาวค่ายกักกันด้วยกันใครเป็นหมู่ใครเป็นจ่า แต่จะเน้นให้เบาะแสผ่านเหตุกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มนักโทษกับผู้คุมเป็นหลัก
+
Dalle, E. 'Narrating changes in topography: Still Life and the cinema of Jia Zhangke'. http://www.ejumpcut.org/archive/jc53.2011/dalleStillLife/index.html
-
 
+
-
ประการที่สองกลุ่มบุคคลดังกล่าว กลุ่มหนึ่งถูกตัดหางปล่อยวัดอีกหนึ่งก็ถูกจองจำ ทั้งโปลดำดินในท่อระบายน้ำและกบฏฮังกาเรียนในค่ายกักกันทางทหารแห่งหนึ่งบนผืนที่ราบใหญ่(puszta)ต่างตกอยู่ในวงล้อมอันแข็งแกร่งและเจนจัดจากฝ่ายข้าศึกและต้องต่อกรกับแสนยานุภาพเหนือกว่าหลายขุมของปรปักษ์ เหมือนไม้ซีกงัดไม้ซุง หนังทั้งสองเรื่องใช้ภาพท้องทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และเปลวเพลิงลุกท่วมกรุงวอร์ซอวเพื่อบอกใบ้สภาวะจนตรอกเชิงนามธรรม ต่อให้กลุ่มคนเหล่านี้มีปัญญาออกจากท่อระบายน้ำ หรือฝ่ากำแพงคุกไปได้ ก็ยังมีกับดักธรรมชาติจากภูมิศาสตร์รอเล่นงานอยู่อีกด่าน เพราะคงไม่รู้ที่ไป หรือที่กบดาน และก็คงจะไม่อาจตระเตรียมอุปกรณ์ยังชีพได้เพียงพอ
+
-
 
+
-
ประการที่สาม สภาพปิดล้อมข้างต้นได้บ่มเพาะรูปแบบของการเอาชนะคะคานกันด้วยเล่ห์เหลี่ยมและกติกาไม่เป็นธรรม ฝ่ายหนึ่งแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง พวกเขารวมตัวกันไม่ติด หวาดระแวง กระเสือกกระสนอยู่ในความมืด โดยมีฝ่ายผู้ชนะคอยชักใย ขุดหลุมพราง และคุมเชิงรอให้อีกฝ่ายเดินหมากชีวิตพลาด นอกจากนี้ก็จะเป็นบทบาทของรูปทรงหรือลายเส้นโค้งคดในหนัง สภาพเลี้ยวลดวกวนของแนวอุโมงค์ระบายน้ำอันเลี้ยวลดวกวนเล่นงานฝ่ายถอยร่นใน Kanał งงเป็นไก่ตาแตกไปตามกัน พวกเขาคลำทางกันหัวซุกหัวซุน สุดท้ายก็กลับมายังจุดเดิม เหมือนตกอยู่ในเขาวงกต รูปวงกลมยังมีให้เห็นชินตาจาก ภาพนักโทษถูกตีตรวนพ่วงไว้ด้วยกันลากสังขารเป็นวงกลมในพื้นที่สี่เหลี่ยมของแดนในกิจวัตรตรวจนับนักโทษ การยืนเรียงเป็นวงกลมรูปลักษณ์ดังกล่าวยังประหวัดนัยถึงการล้อมวงเพื่อประกอบพิธีบวงสรวงอีกด้วย หากไม่นับความพ้องพานของแก่นอันเป็นขุมพลังคอยบัญชากลไกการเล่าดังกล่าวมาแล้ว หนังทั้งสองเรื่องก็เป็นคนละเรื่องกันจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง และการขึ้นรูปบุคลิกตัวละคร งานของแยนโชคลี่คลายเรื่องเป็นเส้นตรงในทิศทางเดียวจนจบ มีลำดับเป็นขั้นเป็นตอนตกทอดถึงกัน อัตราเร็วและจังหวะก็คงเส้นคงวา ดังจะเห็นได้จาก หนังเปิดเรื่องด้วยการประหารผู้ต้องขังหนึ่งราย และปิดฉากด้วยการสังหารหมู่ ส่วนวาดากลับเล่าความเป็นไปและเป็นมาจากสองมุมมองควบขนานกันไป แม้ว่าวิกฤติการณ์ของหนังจะตั้งเค้าตั้งแต่ทหารโปแลนด์ยอมมุดหัวลงท่อระบายน้ำหวังตัดแนวรบฝ่ายเยอรมัน แต่มีการเล่าถึงวีรกรรมของกองกำลังโปลบนภาคพื้นดินขณะปักหลักสู้ท่ามกลางซากป่นปี้ของเมืองเพื่อป้องกันฐานที่มั่นไว้จากการบุกสายฟ้าแลบของเยอรมัน [http://wp.me/p4vTm-oO อ่านทั้งหมด]
+
-
 
+
-
 
+
-
== หมากกระดานเดิมพันชีวิต(The chessboard of violence) ==
+
-
 
+
-
(Popiół i diament, 1958; Csillagosok, katonák,1967)
+
-
 
+
-
[1] โครงสร้างและลีลาอันผิดแผก (Explicit difference of structure and style)
+
-
 
+
-
แนวคิดการร่ายและเล่า Kanał และ Szegénylegények อาจคล้ายคลึงกันในหลายจุด แต่ผลงานลำดับถัดมาของผู้กำกับทั้งสองกลับผิดแผกกันชนิดคนละเรื่องจริง ๆ ขณะที่วาดาปรับตัวเข้าหาขนบนิยมการเล่า โดยนำวรรณกรรมกระแสหลักของเจอร์ซี แอนเดรสยูสกี(Jerzy Andrzejewski)มาเป็นวัตถุดิบ และมุ่งสำรวจประสบการณ์และพัฒนาการของตัวละครตัวใดตัวหนึ่งเป็นการเฉพาะ อีกด้านหนึ่งแยนโชกลับยิ่งสนุกมือกับการลองของใหม่ อันเป็นผลการคิดค้นและผสมผสานลูกเล่นอุตริ ๆ ของตนขึ้นมา เขามึนตึงกับคนดูขาจรแทนที่จะเชื้อเชิญให้ลิ้มลองรสชาติงานของเขา หนังสองเรื่องนี้ยังถือเป็นตัวแทนงานจากยุคสั่งสมบารมีและเตรียมผงาดขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ทางศิลปะตลอดกาลของผู้กำกับทั้งสอง หนังสองเรื่องนี้ไม่เพียงต่างกันขั้วในแง่สุนทรียจริต ส่วนพ่วงของหนังก็พอกัน การสำรวจแบบแผนและการขัดเกลาแก่นคิดจึงอาศัยเกณฑ์การวิเคราะห์พื้น ๆ เช่นเดียวกับคู่ประกบ Kanał และ Szegénylegények
+
-
 
+
-
Popiół i diament เดินเรื่องผ่านความเป็นไปในชีวิตของมาซิก เคลมิกกี(Maciek Chelmicki) สอดแทรกด้วยผู้คนที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตตัวละครเอกผู้นี้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิหนึ่ง วาดายังคงใช้กรอบเวลาการเล่าเช่นเดียวกับใน Kanał หนังทั้งสองเรื่องเปิดฉากตอนเที่ยงวัน และไปจบลงตอนรุ่งสางของวันถัดมา นอกจากนี้ลักษณะการเล่าก็เป็นการเกาะติดภารกิจปวารณาตนเป็นไม้ซีกงัดกับไม้ซุงประวัติศาสตร์ตลอดชั่วหนึ่งวันหนึ่งคืนของตัวเอก ยุโรปใน Popiół i diament เพิ่งผ่านพ้นสงครามอย่างที่เห็นใน Kanał มาหยก ๆ กล่าวให้จำเพาะเจาะจงคือ ยุโรปวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.1945 ดังได้ยินกันตอนต้นเรื่องจากเสียงตามสายในฉาก ณ จัตุรัสเมืองที่แจ้งข่าวการประกาศวางอาวุธของฝ่ายเยอรมัน(แทนการใส่เสียงบรรยายเข้าไปตรง ๆ เหมือนใน Kanał)
+
-
 
+
-
ภาพในหนังเป็นภาพแทนสายตาของมาซิก มีภาพจากจุดยืนของมาซิกอยู่หลายฝีภาพด้วยกัน ส่วนใหญ่แล้วกล้องจะตามมาซิกต้อย ๆ จะยกเว้นอยู่บ้างก็ในกรณีเล่าปมรอง ๆ พ่วงเข้ามาในหนังเพื่อเพิ่มอรรถรส เช่น โศกนาฏกรรมทีเล่นทีจริงในวงจรรุ่งโรจน์และตกอับของนกสองหัวชื่อครูนอฟสกี และพันธกิจของซูกาในในฐานะพ่อ เขาเที่ยวควานหาตัวลูกชายที่ไม่เคยพบหน้า และมีเบาะแสเพียงว่าลูกชายหันไปเข้ากับฝ่ายโปแลนด์หัวเก่าเช่นเดียวกับมาซิก
+
-
 
+
-
นอกจากนี้ก็เป็นการเจาะภาพชีวิตตัวละครอื่น ๆ ประกอบไปด้วยอันเดรส คู่หูของมาซิก และพนักงานของโรงแรมชื่อคริสติน่า คู่รักของมาซิก พัฒนาการหัวหกก้นขวิดและการสวมบทอันลื่นไหลไม่เพียงแต่งแต้มสีสันเพิ่มความจัดจ้านแก่หนัง ตัวละครยิบย่อยเหล่านี้ยังเป็นตัวแทนผู้คนจากชนชั้นต่าง ๆ ของสังคมชุมชนบ้านนอก ขณะที่ตัวละครหลัก ๆ ของ Kanał มีความเสมอภาคกัน มาในครั้งนี้โครงสร้างตัวละครกลับมีลำดับชั้นแข็งแกร่งและมีการแบ่งงานกันทำชัดเจน ทั้งที่จะว่าไป ในความหลากหลายทางบุคลิกภาพในตัวสมาชิกในทั้งสองฝักฝ่ายน่าจะญาติดีกันได้ไม่ยาก แถมออกจะดูถูกชะตากันเกินวิสัยของคู่อริด้วยซ้ำ อย่างที่ย้ำไว้ก่อนหน้าแล้ว จินตภาพต่อตัวละครและโครงสร้างการเล่าของแยนโชใน Szegénylegények นั้นผิดแผกออกไปลิบลับ คนดูไม่มีช่องทางเข้าถึงจิตใจและความฝันอันจุดสูงสุดของตัวละคร อย่างไรก็ดีเหล่าตัวละครที่หูหนาตาเร่อเข้ามาในเส้นทางการเล่าเรื่องถึงแม้ช้าเร็วก็ต้องตาย ก็นับว่ายังเป็นผู้คนเป็นคนอยู่บ้างจากชื่อและศักยภาพการจำชื่อของผู้ชม รวมไปถึงปฏิกิริยายามถึงคราวตาย ตลอดจนหน้าที่ตามโครงสร้างการเล่า("ตัวการ" "แพะ") [http://wp.me/p4vTm-oR อ่านทั้งหมด]
+

รุ่นปัจจุบันของ 08:24, 4 มกราคม 2557

การจัดสรรพื้นที่แก่สภาพธรรมชาติและผลงานมนุษย์กับการเปลี่ยนกระบวนเล่าใน Still Life และงานอื่นๆ ของเจียฉางเค่อ

เขื่อนสามผา(the Three Gorges Dam)บนทางไหลของแม่น้ำแยงซีซึ่งตามมหากาพย์แผนการดำเนินงานก่อสร้างจะต้องใช้เวลาตลอดทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 นั้น นำมาซึ่งความขัดแย้งขั้นรุนแรงระหว่างนักสิ่งแวดล้อม รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน และประชาชนหลายล้านคนในพื้นที่น้ำท่วมถึงเหนือเขื่อนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ อาณาบริเวณและความเป็นไปอันจะมีเขื่อนสามผาขึ้นมาแทนที่ตระหง่านง้ำคือฉากหลังของ Still Life งานจากค.ศ.2006 ของเจี่ยฉางเค่อ หนังติดสอยห้อยตามความเป็นไปอันยอกย้อนของคนสองคู่จากคนละฟากกำแพงเศรษฐกิจแห่งการเปล่ี่ยนผ่านสู่ชาติอุตสาหกรรมเต็มตัวของจีน ชีวิตตัวละครที่ขึ้นอยู่กับการสร้างสรรค์และทำลายล้างจากโครงการสร้างเขื่อน หนังยังยืมมือภาวะน้ำท่วมใหญ่ที่จะมาถึงอยู่รอมร่อทดสอบความซับซ้อนของสังคมเศรษฐกิจ ไปพร้อมกับพินิจพิเคราะห์ขีดจำกัดของมนุษย์ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จากการเปลี่ยนสัดส่วนการถือครองพื้นที่ระหว่างธรรมชาติกับผลงานมนุษย์

หลังจากพลัดพรากกันไปสิบหกปี สองฝ่ายกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง พร้อมกับฝีภาพยาวเฉียบฉมัง หานซานหมิง และมิสซียังขัดๆเขินๆกันอยู่สองคนทอดหุ่ยอยู่บนตึกที่อยูในระหว่างทุบทิ้งผนังด้านหนึ่งทะลุเป็นโพรงใหญ่ พิกัดในกรอบภาพของคนคู่นี้ค่อนมาทางขวา มิสซียืนอยู่เบื้องซ้ายของฝ่ายชายซึ่งอยู่ในท่ากึ่งนั่งยองกึ่งคุกเข่า ค่อนไปทางซ้ายของพวกเขาคือ ทิวทัศน์ตัวเมืองเบื้องนอกที่ลอดผ่านช่องโหว่ของโพรงกำแพง มิสซีย่อตัวลงหน้าซานหมิงยื่นของกินให้เขา ฝ่ายชายสูบบุหรี่เรื่อยเปื่อย เสียงจากประกาศิตผู้เล่าในฝีภาพยาวที่กินเวลาร่วมนาทีนี้มีเพียงเสียแตรรถจากระยะไกลๆ และเสียงกิจกรรมต่างๆที่ลงกับตัวอาคาร แล้วตึกหลังเบ้อเริ่มที่เห็นไกลออกไปจากโพรงก็ทรุดตัวลง พ่นฝุ่นและเศษซากของชั้นที่พังพาบออกมา ตัวละครทั้งสองลุกขึ้นยืน หันไปยังต้นเสียงความวินาศที่สร้างความเลื่อนลั่นแก่ตัวเมือง ซานหมิงค่อยยื่นมือไปแตะแขนของมิสซีจากด้านหลัง

เทียบในปริบทใหญ่ของหนัง ฝีภาพนี้ถ่ายทอดถึงความล่มสลายของปัจจัยแปลกปลอมที่อาจรวมความถึงแรงงาน การอพยพ การค้ามนุษย์และความพินาศด้านสิ่งแวดล้อม อันเป็นผลจากแนวทางการจัดระเบียบการใช้พื้นที่อันเดิมสิ้นอายุขัยลงเพราะการมาของเขื่อนสามผา บ้านเดิมของมิสซีนั้นจมบาดาลไปแล้วเพราะระดับน้ำที่สูงขี้นเรื่อยๆ เคราะห์ซ้ำเธอยังตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ เพราะซานหมิงได้เธอมาด้วยการซื้อตัว ซานหมิงถึงจะยังตัดใจไม่ได้ ก็คงได้แต่หอบหิ้วเมียแปลกหน้าซมซานกลับไปทำงานในเหมืองที่บ้านเกิดหาเงินไถ่ถอนภรรยา ความทุกข์ยากแค้นของตัวละครเป็นเหมือนโรคประจำถิ่นทางเศรษฐกิจ พวกเขาถูกบีบด้วยเงื่อนไขจากสภาพแวดล้อมให้ต้องย้ายถิ่นและส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเผิ่งจีและภาวะเศรษฐกิจในยุคอุตสาหกรรมของจีน

เจี่ยรวบยอดแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมมาชำระความรวดเดียวใน Still Life เจี่ยตั้งปณิธานตั้งแต่แรกเข้าสู่เส้นทางกำกับหนังที่จะตีแผ่ผลพวงของการโตวันโตคืนทางเศรษฐกิจของจีน ความหลงใหลได้ปลื้มกับโลกาภิวัตน์ และวิบากกรรมของมนุษย์จากการชำเราสิ่งแวดล้อม ร่องรอยความล้มเหลวของมนุษย์ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-เศรษฐกิจในสังคมปัจจุบันที่ตกเป็นลูกไล่ของพลังของการเล่นพรรคเล่นพวก มีรัฐหนุนหลัง โยงใยทั่วโลก และขูดรีดข่มเหงผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจ เหล่านี้ไม่เคยรอดพ้นสายตาจับผิดของเจี่ย เหนือสิ่งอื่นใด หนังของเจี่ยเป็นเครื่องมือวิพากษ์การนำเสนอภาพความเปลี่ยนแปลงการแบ่งสรรพื้นที่ีระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ตามความเชื่อมักง่าย โดยผลักดันขีดจำกัดของการเล่าและงานสารคดีออก ไปเพื่อเผยให้้เห็นช่องโหว่ขุมข่ายความคิดในการทำความเข้าใจภาพรวมการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศขนานใหญ่

งานเขียนชิ้นนี้มุ่งตีความผลงานของเจี่ยฉางเค่อเพื่อหาหลักฐานการใช้หนังเป็นเครื่องมือบรรยายความเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนการถือครองพื้นที่ เจี่ยในฐานะผู้กำกับย่อมสร้างงานภายใต้อิทธิพลที่แทรกซึมอยู่ในตัวเขา ภูมิลำเนาของเขามีบทบาทในฐานะตัวบทเชิงขุมข่ายความคิดแรกๆ ในชีวิตการกำกับหนัง เจี่ยยังเจนจัดในการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลทั้งแบบก้าวล้ำและตามอัตภาพเพื่อสร้างสรรค์และเรียกความสนใจสู่ตัวงานของเขา การทำความเข้าใจกับ เป็นไปเพื่อใช้เป็นความคิดพื้นฐานในการตีความ Still Life งานยุคปี ค.ศ.2006 จะอาศัยการทำความเข้าใจงานยุคต้น ใน 3 มุมมอง ได้แก่ ความนับเนื่องของผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่รับรู้ร่วมกันในหมู่ผู้พลัดที่นาคาที่อยู่ วิกฤติของการให้ความสำคัญที่สะท้อนผ่านกระบวนการเลือกแสดงความหวนไห้อาลัยของเจี่ย และท่วงทีของหนังในการทลายศูนย์อำนาจในการตีค่าความหมายของคำว่าบ้านและพลัดที่นาคาที่อยู่ ในส่วนบทสรุปจะนำ Dong ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฝดในภาคสารคดีของ Still Life เข้ามาเปรียบเทียบเพื่อแจกแจงกระบวนการสลายเส้นแบ่งระหว่างการเล่าหนังกับสารคดี งานของเจี่ยชี้ให้เห็นข้อจำกัดของการลำดับเหตุผลเพื่อให้ภาพรวมความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์และร่วมหัวจมท้ายกับท่วงทีการสาธยายการใช้พื้นท่ี่ร่วมกันระหว่างธรรมชาติกับผลงานมนุษย์


ภูมิลำเนา ส่วนผสมผลงานธรรมชาติกับมนุษยกรรม และ เทคโนโลยี

เจี่ยคือหนึ่งในลูกหลานจีนรุ่นใหม่ที่เป็นแนวรับแรงปะทะแรกๆ จากคลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมชนิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในแผ่นดินใหญ่ เขาสร้างงานด้วยอานิสงส์และการต่อรองกับหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นมาตรการกีดกันจากรัฐและความนับถือจากวงการภาพยนตร์นานาชาติ/ในจีน เจี่ยเกิดเมื่อ ค.ศ.1970 ที่เมืองเฝิ่นหยาง มณฑลชานสี บ้านเกืดเมืองนอนมีอิทธิพลสูงยิ่งในการเล่าเรื่องในงานหลายต่อหลายชิ้นของเขา แม้เฝิ่นหยางจะไม่ได้มีวัตถุดิบมากมาย แต่เขาก็กลับไปหาบ้านเสมอ ความเชื่อของเจี่ยที่ว่าคติในเรื่องบ้านมีส่วนสำคัญในเชิงเป็นเบ้าหลอมความเข้าใจต่อโลกของคนทั้งในแง่ความรู้สึกและเหตุผล สะท้อนผ่านการให้สัมภาษณ์ต่างกรรมต่างวาระ

การเรียกขานงานความยาวมาตรฐาน 3 ชิ้นแรกที่ผลิตนอกระบบรวมๆกันว่าไตรภาคบ้านเกิด(The Hometown Trilogy) ก็มาจากเหตุผลดังกล่าว การเล่า The Pickpocket (Xiao Wu)งานความยาวมาตรฐานชิ้นแรกของเจี่ยจากค.ศ.1997 โดยถ่ายจากสถานที่จริง กลายเป็นบัญญัติขุมข่ายความคิดครอบงำงานชั้นหลังๆ เรื่อยมา เดิมทีเจี่ยตั้งใจให้บันทึกการเดินทางกลับไปเยือนบ้านเกิดในรูปหนังชิ้นดังกล่าวมีความยาวเพียง 30 นาทีแต่ที่บานปลายกลายเป็นงานขนาดยาวโดยฉับพลันก็เพราะเฝิ่นหยางเปลี่ยนไปผิดหูผิดตานับแต่เจี่ยจากไปเรียนภาพยนตร์ที่ปักกิ่ง จนอดไม่ได้ที่จะต้องจารึกความเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการครองพื้นที่ระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ในชั่วระยะเวลาอันสั้น

ทันทีที่สิ้นสุดขั้นตอนการขึ้นชื่อเรื่องและแนะนำหนัง หนังบรรยายท้องที่เหตุการณ์และการกลับสู่ภูมิลำเนาของตัวละครหลักผ่าน 4 ฝีภาพ ฝีภาพแรกเป็นภาพการจุดไม้ขีดไฟจากระยะใกล้ ฝีภาพถัดมาเปลวจากก้านไม้ขีดไฟเดินทางไปเผาไหม้ปลายมวนบุหรี่ที่ชายคนหนึ่งคาบอยู่ บนกล่องไม้ขีดปรากฏอักขระจีนคำว่า Shan Xi บ่งบอกว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในจังหวัดบ้านเกิดของเจีย ฝีภาพถัดมาเป็นภาพระยะไกลเผยให้เห็นชายเจ้าของบุหรี่ยืนอยู่ข้างถนน ในฝีภาพที่ 4 จากกล้องในทิศย้อนศรจับภาพจากด้านหลังของเสี่ยว วู(Xiao Wu) เผยให้เห็นว่าตัวละครหลักผู้นี้ยืนรอรถประจำทางอยู่ เบ็ดเสร็จแล้วเจี่ยใช้เวลาเพียง 20 วินาทีหลังสิ้นสุดการเปิดเรื่อง ในการทั้งจัดแจงฉากหลังและนำพาตัวละครหลักของก็กลับสู่ภูมิลำเนา จากนี้ไปเสี่ยว วูจะได้ลิ้มรสชาติของความยุ่งยากจากการคืนถิ่น เป็นการเดินทางอันระหกระเหินบิดเบี่ยงของลิ่มคลื่นความลำบากใจเมื่อครั้งเจี่ยกลับมาบ้านที่เฝิ่นหยางหลังไปเรียนที่ปักกิ่งอยู่หลายปี เจี่ยถ่ายทำ Pickpocket แล้วเสร็จใน 21 วัน เขาผลิตงานชิ้นนี้ในระบบ 16 ม.ม. ภาพหนังมีทั้งมาจากกล้องมือถือ ฝีภาพยาว(long take) และฝีภาพไล่สำรวจ(tracking shot)เพื่อถ่ายทอดความเสื่อมโทรมของสถาปัตยกรรมในท้องถิ่น(ดังปรากฏอักขระตัว ไค ตามตึกที่ถูกหมายหัวรอวันถูกทุบ)

งานด้านเสียงของฝีภาพโดดเด่นด้วยสรรพสำเนียงอึกทึกตามประสาเมืองทั้งน่ารำคาญและคุกคามความรู้สึก ฝีภาพตามสำรวจความยาวหนึ่งนาทีถัดมาจะเป็นภาพขณะเสี่ยว วูนั่งซ้อนท้ายจักรยานเตร็ดเตร่ แม้ศูนย์เล็งของภาพจะอยู่ที่ชายสองคนบนรถจักรยาน แต่ตลอดรายทางที่พวกเขาปั่นไปถึงจะมีภาพซากปรักหักพังของกำแพง ร้านรวง ผู้คน ลานจอดจักรยาน ป้ายบอกทาง องค์ประกอบความเป็นเมืองสารพัดผันผ่านเข้ามา โดยถ่ายทอดสารรูปของสิ่งเหล่านี้ออกมาเสมอจริง คนบนรถจักรยานต้องตะเบ็งเสียงคุยกันแข่งกับเสียงแจ้งข่าวสารประชาสัมพันธ์จากลำโพง ภาพและเสียงของเมืองคอยบดบังความสำคัญของตัวละครทั้งสองโดยตลอด

อีกฉากหนึ่ง เจี่ยเล่นงานตัวละครหลักของเขาอีกขนาน คราวนี้ยืมมือสถาปัตยกรรมภายใน ต้นสายปลายเหตุของฉากนี้มาจากเพื่อนในเมืองเอาด้วย เสี่ยว วู จึงเข้าไปเที่ยวร้านคาราโอเกะตามลำพัง เหมย เหมย สาวเชียร์เพลงเข้ามาตีสนิทและชวนเขาร้องเพลงด้วยกัน เสี่ยว วู ประหม่า บ่ายเบี่ยง อ้างว่าตัวเองร้องเพลงไม่เอาไหน เสี่ยว วูเก็บเนื้อเพลงท่อนของฝ่ายชายดังกล่าวมาขับขานในห้องอาบน้ำตามลำพังในฝีภาพความยาวสองนาทีถัดมา พอเสี่ยว วูเริ่มร้อง กล้องก็ค่อยเชิดหน้าขึ้นเก็บภาพจนหัวของเสี่ยว วู หลุดลงไปจากกรอบภาพ มีแต่ผนังห้องอาบน้ำส่วนที่อยู่สูงขึ้นไป 30 วินาทีสุดท้ายของฉากคือการขับกล่อมเพดานโรงอาบน้ำด้วยบทเพลงกังวานก้องจากเสียงร้องของจากชายหนุ่ม

ในงานชิ้นที่สองของเจี่ย คือ Platform (Zhantai)ซึ่งออกฉายในปีค.ศ.2000 นั้นห้าวหาญยิ่งกว่า Pickpocket กับการเจาะลึกรายละเอียดสภาพความเปลี่ยนแปลงในเฝิ่นหยางช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1990 หนังไล่เรียงพัฒนาเล่าความเป็นไปในยุคสมัยดังกล่าวผ่านมุมมองตัวละครหลัก 4 ตัวที่มีชีวิตโลดแล่นคาบเกี่ยวกับในคณะการแสดง เริ่มต้นจากการแสดงชุดสดุดีประธานเหมาและจบลงด้วยการแปรสภาพเป็นวงรวมดาวขาร็อคขาแด๊นซ์เลื่องชื่อแห่งเสิ่นเจิ้น ชีวิตของตัวละครเคลื่อนคล้อยไปตามสภาพความผันแปรทางสังคม-การเมือง และเศรษฐกิจที่แผ่มาถึงถิ่นฐานบ้านเกิด ดังจะเห็นได้จากการรณรงค์นโยบายมีลูกคนเดียว และทั้งเมืองมีไฟฟ้าใช้ หนังทิ้งทวนด้วยคำถามที่ว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านำพาสิ่งใดมาสู่ปัจเจกและวัฒนธรรม หรือแม้แต่ในระดับจิตสำนึก ฉากสุดท้าย เหมือนจะไม่เข้าข้างการค้นหาคำตอบ


หนังส่งท้ายด้วยฝีภาพยาวขนาดสองนาทีบรรยายสภาพบ้านเรือน และชีวิตคู่ของตัวละครหลักสองคนที่ปลงใจออกเรือนจนมีลูกด้วยกัน ฝ่ายหญิงหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น กล่อมกระเตงลูกน้อยไปพลางติดไฟต้มน้ำไปด้วย ขณะที่ฝ่ายชายนั่งเต๊ะจุ้ย ซังกะตายกับมวนบุหรี่ที่กวัดไหวในมือ บ้านเซ็งแซ่โกรกกรากด้วยเสียงจากเตา แม่พล่ามกับลูก เสียงเด็กจากอาณาบริเวณบ้านนอกรัศมีการเล่าแทรกเข้าผสมโรง ก่อนจะถูกกลบโดยเสียงประกอบย้ำดุกร้าวจะแผดดังขึ้นเรื่อยๆ แม้ภาพจะเลือนดับไปแล้ว เสียงอึงคนึงดังกล่าวยังพันตูกับเสียงจากท้องเรื่องต่อไปอีกราว 10 วินาทีถึงจะราข้อ Platform จบลงไปพร้อมศรัทธาที่สูญสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับภาพตัวแทนชีวิตหนุ่มสาวที่แก่แดดแก่ลมไปถนัดใจด้วยน้ำมือยุคปฏิรูปแบบฉับพลัน

ความรุดหน้าของเทคโนโลยีและสังคมส่งผลกระทบต่อเจี่ย ฉาง เค่อ เช่นเดียวกับตัวละครในงานของเขา ผิดแต่เพียงเจ่ียรู้จักใช้เงื่อนไขเหล่านั้นเพื่อประโยชน์ในทางการผลิตและเผยแพร่ผลงาน |<เจี่ยได้ชื่อว่าเป็นคนทำหนังอิสระรุ่นใหม่ที่สมาทานการปฏิวัติดิจิทัลมาเป็นขุมกำลังหลักแห่งความสำเร็จและการบุกเบิกคิดค้น/>| เจี่ยระบุถึงคุณูปการใน 3 ลักษณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีต่อกระบวนการผลิตและสถานะของผู้กำกับรุ่นใหม่ในจีน ตลอดลำหักลำโค่นของคนดูชาวจีนไว้ในบทความ Trois Revolution ของกาเยส์ ดู ซีนีมาดังนี้ • กล้องดิจิทัลเพิ่มความสะดวกแก่ผู้กำกับรุ่นใหม่เป็นอันมากในการถ่ายทำ และขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงเรื่องราวที่ต้องการถ่ายทอด • ความแพร่หลายของสื่อ DVD ในจีน(โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ลักลอบผลิต) กลายเป็นสายพานยักษ์ลำเลียงผลงานของผู้กำกับรุ่นใหม่สู่ตลาด ขณะเดียวกันก็เพิ่มรสนิยมและเขี้ยวเล็บการดูหนังของคอหนังชาวจีน • อินเทอร์เน็ตเปิดพื้นที่สาธารณะให้คนรักหนังรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์

วิวัฒนาการทางภาพยนตร์ทั้งสามภาคีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีคุณูปการใหญ่หลวงต่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดของคนทำหนังรุ่นใหม่ในจีน แม้จะยอมรับว่ายังมีข้อจำกัดในการทำงาน แต่การถ่ายทำด้วยกล้องดิจิทัลก็นำมาซึ่งเสรีภาพในการทำงาน ทั้งยังบุกเบิกเส้นทางสุนทรียะ ผลงานลำดับสามของเจี่ยในไตรภาคบ้านเกิดของเจี่ยออกฉายในค.ศ.2002 ในชื่อ Unknown Pleasure(Ren Xiao Yao) ผลิตในระะบบดิจิทัลล้วนๆ เพื่อถ่ายทอดการผจญภัยของสองเพื่อนรักคือ ปิน ปิน(Bin Bin)และ เสี่ยวไจ๋(Xiao Ji) กับพฤติกรรมขวางโลกตามถนนรนแคมไปวันๆ ในจังหวัดต้าถง(Datong) สองคนนี้เป็นผลผลิตจากนโยบายเปิดประเทศของเติ้ง(เสี่ยว ผิง - -Deng X P) ไม่เคยรับรู้อดีตสมัยเหมา(เจ๋อ ตง - - Mao Ze Tong) สองคนโตมาในครอบครัวเดี่ยว ไม่ทำงานทำการ ข่าวความคืบหน้าสถานการณ์อุบัติเหตุเครื่องบินขับไล่ของจีนชนกับเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐในน่านฟ้านอกชายฝั่งไหหนานในค.ศ.2001 แทรกเข้ามาในหนังเป็นระยะ สุดท้ายเมื่อชีวิตไม่เป็นดังฝันและได้ฉากเปิดเรื่อง Pulp Fiction มาจุดประกาย สองหนุ่มตกลงใจปล้นธนาคาร ตามแผนปินปินจะบุกเข้าไปพร้อมระเบิดปลอม ส่วนเสี่ยวไจ๋จะติดเครื่องมอเตอร์ไซค์รอท่าอยู่ด้านนอก แต่แผนก็ล่มไม่เป็นท่า ปินปินถูกจับ เสี่ยวไจ๋หนีไปได้แต่มอเตอร์ไซค์ก็ไปตายอยู่บนทางด่วน

ยุคเปลี่ยนผ่าน ณ ทศวรรษ 1980 ของจีนแผ่นดินใหญ่บันดาลทั้งความสับสนและหวนไห้อาลัยแก่เจี่ย งานของเจี่ยยังนับเป็นสำนึกต่ออิทธิพลของโลกานุวัตน์ในช่วงเปลี่ยนสหัสวรรษ หลักแหล่งของเจี่ยอันคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างภูธรกับสากลเป็นชัยภูมิชั้นเยี่ยมในการสังเกตการณ์อิทธิพลของโลกานุวัตน์ต่อผู้คนในท้องถิ่น งานขนาดยาวมาตรฐานลำดับที่สี่ของเจี่ยคือ The World ออกฉายในค.ศ.2004 ตามประชดประชันทุกอณูภาวะโลกานุวัตน์ หนังใช้สวนสนุกแนวเมืองจำลองแห่งหนึ่งในปักกิ่งเป็นฉากหลัง เช่นเดียวกับงานก่อนๆหน้า เจี่ยเล่าเรื่องราวโดยคำนึงถึงภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมเป็นสำคัญ เนื้อเรื่องของ The World เหมือนจะเป็นเบี้ยล่างของโวหารภาพ สวนสนุกเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างจำลองสถานที่สำคัญๆ ของโลก ไม่วาจะเป็นหอไอเฟล หอเอนเมืองปิซา เต๋าตัวเอกทำงานเป็นนักแสดงนาฏลีลาประจำสวนสนุก ไต้เฉิงทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของสวนสนุก ไต้เฉิงอพยพมาจากชานสีเช่นเดียวกับพนักงานสวนสนุกรายอื่นๆ แต่การถ่ายเทประชากรด้วยเหตุผลของการหาเลี้ยงชีพไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศ แต่ขยายขอบข่ายไปสู่ระดับนานาชาติ เพราะสวนสนุกก็มีลูกจ้างหน้าใหม่ที่เป็นรัสเซียชื่ออันนาอยู่ในคณะแสดงนาฏลีลาด้วย สองสาวเลยกลายมาเป็นเพื่อนกัน อันนาออกจากงานไปตามหาญาติ และตอนหลังก็ต้องไปเป็นโสเภณี ความเป็นไปในโลกแห่งนี้สำเนามาจากสภาพความเป็นจริงของโลกยุคโลกานุวัตน์

กว่าจะก้าวผ่านไตรภาคบ้านเกิดมาสู่ The World เส้นทางการเป็นผู้กำกับของเจี่ยผ่านหน้าไพ่ความเป็นไปได้อันหลากหลาย เช่นเดียวกับผู้กำกับรุ่นที่หกรายอื่นๆ ที่สร้างงานโดยไม่รับการอุปถัมภ์จากระบบโรงถ่ายของรัฐ และไปสร้างชื่อผ่านการนำผลงานไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ แต่กับ The World เจี่ยเดินเรื่องผ่านสำนักภาพยนตร์ ต่อข้อสงสัยต่อเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ิ เจี่ยตอบว่า "ผมไม่ได้เปลี่ยน แต่สภาพแวดล้อมของคนทำหนังชาวจีนต่างหากที่เปลี่ยน ตั้งแต่ปีที่แล้ว(ค.ศ.2003)แล้วละ กลุ่มคนทำหนังรุ่นใหม่พูดคุยกับสำนักภาพยนตร์มากขึ้น ต่อรองเพื่อเพิ่มเสรีภาพ และสร้างบรรยากาศการสร้างงานที่ผ่อนคลาย มาในปีนี้ทางสำนักฯจึงออกนโยบายใหม่ๆ มาหลายเรื่อง" เจี่ยกล่าวต่อโดยยกตัวอย่างนโยบายการตรวจพิจารณาผลงาน "จากเดิมหนังทุกเรื่องต้องผ่านความเห็นชอบโดยจากสำนักภาพยนตร์ แต่จากนั้นเป็นต้นมาก็มีการกระจายอำนาจไปยังคณะกรรมการระดับมลฑลเพื่อให้ความเห็นชอบการนำหนังออกฉาย จากที่มุ่งอยู่กับบ้านเกิด พอเปลี่ยนจากการทำงานอิสระไปสู่การเห็นชอบโดยรัฐ เจี่ยก็ปรับสัดส่วนขุมข่ายการเพ่งเล็งไปสู่โลกทั้งใบ ดูจะกลับตาลปัตรเอาการ มีอย่างที่ไหน ในการเล่าความเป็นไปในพื้นเพตนเองแท้ๆ เขาต้องหลบเลี่ยงหูตารัฐบาล แต่พอเป็นพื้นที่นอกอธิปไตยกลับผ่ามาขอไฟเขียวจากรัฐ

จักริน วิภาสวัชรโยธิน แปลจาก

Dalle, E. 'Narrating changes in topography: Still Life and the cinema of Jia Zhangke'. http://www.ejumpcut.org/archive/jc53.2011/dalleStillLife/index.html

เครื่องมือส่วนตัว