“กรุณา” “หน่อย”: ที่มาของคำแสดงการขอร้องในภาษาไทย

จาก ChulaPedia

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
แถว 1: แถว 1:
'''ผู้วิจัย: นางสาวนพวรรณ  เมืองแก้ว อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์: อาจารย์ ดร.วิภาส  โพธิแพทย์  '''  
'''ผู้วิจัย: นางสาวนพวรรณ  เมืองแก้ว อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์: อาจารย์ ดร.วิภาส  โพธิแพทย์  '''  
-
''“'''กรุณา'''ส่งเอกสารด้านหน้าค่ะ” “ขอลางาน'''หน่อย'''นะครับ”'' ประโยคขอร้องดังกล่าว มีโครงสร้างเป็นประโยคคำสั่งที่มีการเติมคำว่า “กรุณา” ไว้ข้างหน้าและเติมคำว่า “หน่อย”ไว้ข้างท้ายประโยค เพื่อทำให้เกิดความหมายขอร้องอย่างสุภาพ คำทั้งสองมีความหมายประจำคำที่แตกต่างกัน เมื่อผู้ใช้ภาษานำคำเหล่านี้มาช่วยเสริมการขอร้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากคำที่มีเพียงความหมายประจำคำ (lexical meaning) ได้แก่คำกริยา “กรุณา” หมายถึง สงสารคิดช่วยเหลือ และคำบอกปริมาณ “หน่อย” หมายถึง น้อย กลายมาเป็นคำที่มีความหมายทางไวยากรณ์ (grammatical meaning) คือ ใช้เป็นคำแสดงการขอร้อง (requestive marker) ด้วย
+
''“'''กรุณา'''ส่งเอกสารด้านหน้าค่ะ” “ขอลางาน'''หน่อย'''นะครับ”'' ประโยคขอร้องดังกล่าว มีโครงสร้างเป็นประโยคคำสั่งที่มีการเติมคำว่า “กรุณา” ไว้ข้างหน้าและเติมคำว่า “หน่อย”ไว้ข้างท้ายประโยค เพื่อทำให้เกิดความหมายขอร้องอย่างสุภาพ คำทั้งสองมีความหมายประจำคำที่แตกต่างกัน เมื่อผู้ใช้ภาษานำคำเหล่านี้มาช่วยเสริมการขอร้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากคำที่มีเพียงความหมายประจำคำ (lexical meaning) ได้แก่ คำกริยา “กรุณา” หมายถึง สงสารคิดช่วยเหลือ และคำบอกปริมาณ “หน่อย” หมายถึง น้อย กลายมาเป็นคำที่มีความหมายทางไวยากรณ์ (grammatical meaning) คือ ใช้เป็นคำแสดงการขอร้อง (requestive marker) ด้วย
ในภาษาไทยปัจจุบันคำทั้งสอง ปรากฏใช้ 2 หน้าที่ ได้แก่ คำว่า “กรุณา” เป็นได้ทั้งคำกริยาและคำแสดงการขอร้อง และคำว่า “หน่อย” เป็นได้ทั้งคำบอกปริมาณและคำแสดงการขอร้อง เกณฑ์ที่ใช้จำแนก ได้แก่''' เกณฑ์ทางวากยสัมพันธ์''' เช่น “กรุณา” ที่เป็นคำแสดงการขอร้องมักจะไม่ปรากฏร่วมกับประธานในประโยค เช่น ''“'''กรุณา'''ถอดรองเท้าก่อนเข้าห้อง”'' ในขณะที่ “กรุณา” ที่เป็นคำกริยามักจะปรากฏร่วมกับประธานในประโยค เช่น'' “คุณลุง'''กรุณา'''ขับรถมาส่งฉัน”'' และ'''เกณฑ์ทางอรรถศาสตร์''' เช่น “หน่อย” ที่เป็นคำแสดงการขอร้องแทนที่ด้วยคำว่า “มาก” ไม่ได้ เช่น ''“พาเรากลับบ้าน'''หน่อย'''”'' เป็น ''“*พาเรากลับบ้าน'''มาก'''”'' ไม่ได้ ในขณะที่ “หน่อย” ที่เป็นคำบอกปริมาณแทนที่ด้วยคำว่า “มาก” ได้ เช่น ''“ตอนนี้สบายขึ้น'''หน่อย'''”'' เป็น'' “ตอนนี้สบายขึ้น'''มาก'''”'' ได้   
ในภาษาไทยปัจจุบันคำทั้งสอง ปรากฏใช้ 2 หน้าที่ ได้แก่ คำว่า “กรุณา” เป็นได้ทั้งคำกริยาและคำแสดงการขอร้อง และคำว่า “หน่อย” เป็นได้ทั้งคำบอกปริมาณและคำแสดงการขอร้อง เกณฑ์ที่ใช้จำแนก ได้แก่''' เกณฑ์ทางวากยสัมพันธ์''' เช่น “กรุณา” ที่เป็นคำแสดงการขอร้องมักจะไม่ปรากฏร่วมกับประธานในประโยค เช่น ''“'''กรุณา'''ถอดรองเท้าก่อนเข้าห้อง”'' ในขณะที่ “กรุณา” ที่เป็นคำกริยามักจะปรากฏร่วมกับประธานในประโยค เช่น'' “คุณลุง'''กรุณา'''ขับรถมาส่งฉัน”'' และ'''เกณฑ์ทางอรรถศาสตร์''' เช่น “หน่อย” ที่เป็นคำแสดงการขอร้องแทนที่ด้วยคำว่า “มาก” ไม่ได้ เช่น ''“พาเรากลับบ้าน'''หน่อย'''”'' เป็น ''“*พาเรากลับบ้าน'''มาก'''”'' ไม่ได้ ในขณะที่ “หน่อย” ที่เป็นคำบอกปริมาณแทนที่ด้วยคำว่า “มาก” ได้ เช่น ''“ตอนนี้สบายขึ้น'''หน่อย'''”'' เป็น'' “ตอนนี้สบายขึ้น'''มาก'''”'' ได้   

การปรับปรุง เมื่อ 10:43, 26 กุมภาพันธ์ 2557

ผู้วิจัย: นางสาวนพวรรณ เมืองแก้ว อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์: อาจารย์ ดร.วิภาส โพธิแพทย์

กรุณาส่งเอกสารด้านหน้าค่ะ” “ขอลางานหน่อยนะครับ” ประโยคขอร้องดังกล่าว มีโครงสร้างเป็นประโยคคำสั่งที่มีการเติมคำว่า “กรุณา” ไว้ข้างหน้าและเติมคำว่า “หน่อย”ไว้ข้างท้ายประโยค เพื่อทำให้เกิดความหมายขอร้องอย่างสุภาพ คำทั้งสองมีความหมายประจำคำที่แตกต่างกัน เมื่อผู้ใช้ภาษานำคำเหล่านี้มาช่วยเสริมการขอร้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากคำที่มีเพียงความหมายประจำคำ (lexical meaning) ได้แก่ คำกริยา “กรุณา” หมายถึง สงสารคิดช่วยเหลือ และคำบอกปริมาณ “หน่อย” หมายถึง น้อย กลายมาเป็นคำที่มีความหมายทางไวยากรณ์ (grammatical meaning) คือ ใช้เป็นคำแสดงการขอร้อง (requestive marker) ด้วย

ในภาษาไทยปัจจุบันคำทั้งสอง ปรากฏใช้ 2 หน้าที่ ได้แก่ คำว่า “กรุณา” เป็นได้ทั้งคำกริยาและคำแสดงการขอร้อง และคำว่า “หน่อย” เป็นได้ทั้งคำบอกปริมาณและคำแสดงการขอร้อง เกณฑ์ที่ใช้จำแนก ได้แก่ เกณฑ์ทางวากยสัมพันธ์ เช่น “กรุณา” ที่เป็นคำแสดงการขอร้องมักจะไม่ปรากฏร่วมกับประธานในประโยค เช่น กรุณาถอดรองเท้าก่อนเข้าห้อง” ในขณะที่ “กรุณา” ที่เป็นคำกริยามักจะปรากฏร่วมกับประธานในประโยค เช่น “คุณลุงกรุณาขับรถมาส่งฉัน” และเกณฑ์ทางอรรถศาสตร์ เช่น “หน่อย” ที่เป็นคำแสดงการขอร้องแทนที่ด้วยคำว่า “มาก” ไม่ได้ เช่น “พาเรากลับบ้านหน่อย เป็น “*พาเรากลับบ้านมาก ไม่ได้ ในขณะที่ “หน่อย” ที่เป็นคำบอกปริมาณแทนที่ด้วยคำว่า “มาก” ได้ เช่น “ตอนนี้สบายขึ้นหน่อย เป็น “ตอนนี้สบายขึ้นมาก ได้

ปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้คำทั้งสองกลายเป็นคำแสดงการขอร้อง ได้แก่ ปัจจัยทางวากยสัมพันธ์ เนื่องจากประโยคในภาษาไทยอนุญาตให้คำกริยาเกิดเรียงต่อกันได้ คำว่า “กรุณา” ที่เป็นคำแสดงการขอร้องจึงน่าจะพัฒนามาจากประโยคที่มีคำว่า “กรุณา” เป็นคำกริยาหลักปรากฏหน้าคำกริยาตัวอื่นๆ เรียงต่อกันในประโยค และปัจจัยทางอรรถศาสตร์ เช่น ความหมายประจำคำของคำบอกปริมาณ “หน่อย” มีความหมายแสดงปริมาณน้อย จึงทำให้ผู้พูดเลือกใช้ความหมายนี้เพื่อสื่อไปยังผู้ฟังว่า การขอร้องเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่เป็นภาระหรือสร้างความลำบากให้แก่ผู้ฟัง

การกลายเป็นคำไวยากรณ์ครั้งนี้ผ่านกระบวนการทางภาษาที่สำคัญ เช่น กระบวนการสูญคุณสมบัติของหมวดคำเดิม เช่น คำกริยา “กรุณา” มีคุณสมบัติสำคัญคือ มีคำวิเศษณ์มาขยายได้ เช่น “คุณตาของเธอกรุณาฉันมาก แต่เมื่อ “กรุณา” กลายเป็นคำแสดงการขอร้องจะมีคำวิเศษณ์มาขยายไม่ได้ เช่น "กรุณางดสูบบุหรี่มาก" กระบวนการจางลงทางความหมาย และกระบวนการคงเค้าความหมายเดิม เช่น ความหมายของคำกริยา “กรุณา” ซึ่งมีความหมายแสดงความสงสาร ความเสียสละและบุญคุณได้หายไป เหลือเพียงเค้าความหมายของความสงสารคิดช่วยเหลือ และมีความหมายของการสั่งอย่างสุภาพเพิ่มเข้ามาแทน ความหมายของคำบอกปริมาณ "หน่อย" ซึ่งมีความหมายแสดงปริมาณน้อยของสิ่งที่ระบุปริมาณได้ชัดเจน เช่น ความยาวของผม "ผมฉันยาวกว่าเธอหน่อยนึง" ได้หายไป เหลือเพียงเค้าความหมายปริมาณน้อยของสิ่งที่ระบุปริมาณไม่ได้คือ ปริมาณของเรื่องที่ขอร้อง เช่น "สระผมให้ลูกค้าหน่อย" การสระผมระบุปริมาณมากน้อยไม่ได้ และยังมีความหมายของการสั่งอย่างสุภาพเพิ่มเข้ามาแทน

อ้างอิง

นพวรรณ เมืองแก้ว. 2556. คำแสดงการขอร้องในภาษาไทย: การศึกษาตามแนวทฤษฎีการกลายเป็นคำไวยากรณ์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เครื่องมือส่วนตัว