โทนรำมะนา
จาก ChulaPedia
ล (→วิธีการบรรเลงโทนรำมะนา) |
(→วิธีการบรรเลงโทนรำมะนา) |
||
(การแก้ไข 5 รุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล) | |||
แถว 1: | แถว 1: | ||
==ลักษณะทางกายภาพ== | ==ลักษณะทางกายภาพ== | ||
- | '''โทนรำมะนา''' เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี หุ้มด้วยหนัง ประกอบขึ้นจากเครื่องดนตรี 2 ชนิด คือ "โทน" มีส่วนประกอบที่สำคัญ | + | '''โทนรำมะนา''' เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี หุ้มด้วยหนัง ประกอบขึ้นจากเครื่องดนตรี 2 ชนิด คือ "โทน" มีส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ หุ่นหรือตัวกลอง หน้ากลอง ไส้ละมาน สายเร่งเสียง และ ห่วงคอ ในขณะที่ "รำมะนา" มีส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ หุ่นหรือตัวกลอง หน้ากลอง แส้ และสนับ กลองทั้งสองชนิดมีส่วนประกอบย่อยที่มีความสำคัญ คือ “ปากนกแก้ว” คือ ส่วนของขอบปากกลองด้านในที่ทำมุมลาดงุ้มลงไปในหุ่นกลองเพื่อไม่ให้กระทบกับแผ่นหนังเวลาตี และยังเป็นส่วนที่ใช้เป็นช่องสำหรับสอดสนับเพื่อหนุนหนังหน้ากลองรำมะนา บนหุ่นกลองอาจมีส่วนประดับตกแต่งด้วยลวดลายนูนบนตัวกลองเรียกว่า “ชุดลวดบัว” และ “ลูกแก้ว” วัสดุที่ใช้สร้างหุ่นโทนที่เป็นที่นิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้แก่ ดินเผา ไม้ ปูน และเซรามิกส์ ในขณะที่วัสดุที่ใช้สร้างหุ่นรำมะนานิยมทำจากไม้เป็นหลักทั้งไม้เนื้อแข็งและไม้เนื้ออ่อน หนังที่เป็นที่นิยมในอดีตจนถึงปัจจุบันได้แก่ หนังวัว หนังแพะ และหนังงู โดยเฉพาะหนังงูงวงช้างซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นหนังที่ให้คุณภาพเสียงที่ดี และพบว่ากลองโทนในอดีตได้มีการนำเอาหวายมาผ่าและผูกโยงเป็นสายเร่งเสียงด้วย ซึ่งในปัจจุบันไม่พบวิธีการดังกล่าวอีก แต่ได้ใช้เชือกร่ม สายเอ็น และ “ไหมควั่นอย่างสายซอแทน” <ref>อุทิศ นาคสวัสดิ์. [ม.ป.ป.]. '''คู่มือแบบฝึกหัดโทนรำมะนา'''. กรุงเทพ: พิทักษ์อักษร. (เอกสารอัดสำเนา)</ref> |
==ประวัติและพัฒนาการของโทนรำมะนา== | ==ประวัติและพัฒนาการของโทนรำมะนา== | ||
- | ในอดีตโทนมีบทบาทในการละเล่นดอกสร้อยสักวาและวงดนตรีเครื่องสายของราษฎร รวมไปถึงวงมโหรีในราชสำนักมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี | + | ในอดีตโทนมีบทบาทในการละเล่นดอกสร้อยสักวาและวงดนตรีเครื่องสายของราษฎร รวมไปถึงวงมโหรีในราชสำนักมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยโทนถูกใช้บรรเลงในบทบาทหน้าที่ของเครื่องควบคุมจังหวะหน้าทับสำหรับวงมโหรีเครื่องสี่เป็นลำดับแรก “โดยยังไม่มีรำมะนาเข้ามาผสม” <ref>มนตรี ตราโมท. 2505. เครื่องสายไทย. '''หนังสือประชุมเพลงไทยเดิมของกรมศิลปากร'''. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนายเปกข์ สุขวงศ์ ณ เมรุวัดธาตุทอง วันที่ 10 พฤษภาคม 2505. อ้างถึงใน ศิวศิษฎ์ นิลสุวรรณ. การขึ้นหน้าโทน รำมะนา ด้วยหนังงูเหลือม. '''วารสารศิลปกรรม''' 22 (กันยายน 2555) : 45-61.</ref> เมื่อได้มีการปรับปรุงนำเอารำมะนาเข้ามาร่วมบรรเลงในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลายแล้ว ทำให้บทบาทของโทนที่เคยใช้บรรเลงเพียงใบเดียวในวงมโหรีเปลี่ยนไป และได้ใช้ยึดถือเอาโทนคู่กับรำมะนา เป็นเครื่องประกอบจังหวะหน้าทับสำหรับการบรรเลงในวงมโหรี และวงเครื่องสายเป็นการเฉพาะมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้แล้วโทนรำมะนายังถูกใช้เป็นเครื่องควบคุมจังหวะหน้าทับในการเดี่ยวเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องสายด้วย |
==วิธีการบรรเลงโทนรำมะนา== | ==วิธีการบรรเลงโทนรำมะนา== | ||
- | วิธีการบรรเลงโทนและรำมะนาเป็นเสียงต่าง ๆ นั้น ใช้วิธีการตี มี 2 ชนิด คือ (1) วิธีการตีแบบแยกคน เป็นวิธีการบรรเลงแบบประเพณีนิยมที่เคยใช้ในราชสำนัก โดยใช้ผู้บรรเลง 2 คน ตีโทนและรำมะนาแยกจากกัน และ (2) การตีคนเดียว เป็นวิธีการแบบสมัยนิยมในปัจจุบัน โดยใช้ผู้บรรเลงเพียงคนเดียวตีทั้งโทนและรำมะนา การบรรเลงทั้ง 2 แบบนั้นสามารถบรรเลงได้ทั้งในท่านั่งขัดสมาธิ ท่านั่งพับเพียบ หรือแม้กระทั้งการนั่งห้อยเท้าบนตั่งหรือเก้าอี้ | + | วิธีการบรรเลงโทนและรำมะนาเป็นเสียงต่าง ๆ นั้น ใช้วิธีการตี มี 2 ชนิด คือ (1) วิธีการตีแบบแยกคน เป็นวิธีการบรรเลงแบบประเพณีนิยมที่เคยใช้ในราชสำนัก โดยใช้ผู้บรรเลง 2 คน ตีโทนและรำมะนาแยกจากกัน และ (2) การตีคนเดียว เป็นวิธีการแบบสมัยนิยมในปัจจุบัน โดยใช้ผู้บรรเลงเพียงคนเดียวตีทั้งโทนและรำมะนา การบรรเลงทั้ง 2 แบบนั้นสามารถบรรเลงได้ทั้งในท่านั่งขัดสมาธิ ท่านั่งพับเพียบ หรือแม้กระทั้งการนั่งห้อยเท้าบนตั่งหรือเก้าอี้ โดยจะต้องให้โทนวางอยู่ทางขวามือ และรำมะนาวางอยู่ทางซ้ายมือของผู้บรรเลงเสมอ โดยใช้ตำแหน่งต่าง ๆ บนนิ้วมือและฝ่ามือตีลงบนหน้ากลอง ให้สัมพันธ์กับคุณภาพเสียงของโทนรำมะนา เป็นเสียงต่าง ๆ ในปัจจุบันเสียงที่เป็นหลักในการบรรเลงสำหรับโทนรำมะนา มี 5 เสียง ได้แก่ “ติง” “จ๊ะ หรือ นะ” “จ๋ง” “ทั่ง หรือ ทั่ม” และ “ถะ” ส่วนเสียงที่เป็นกลวิธีพิเศษอื่น ๆ ที่เกิดจากการประคบมือ มี 5 เสียง ได้แก่เสียง “ตลิง” “ติด” “ตลิด” “กรอด” “เจ๊าะ” และ “ถาด” รวมเป็นเสียงประกอบของสำหรับการกำกับจังหวะหน้าทับโทนรำมะนาทั้งสิ้น 10 เสียง |
- | + | ||
- | + | ||
==อ้างอิง== | ==อ้างอิง== | ||
<references/> | <references/> |
รุ่นปัจจุบันของ 11:24, 20 สิงหาคม 2557
เนื้อหา |
ลักษณะทางกายภาพ
โทนรำมะนา เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี หุ้มด้วยหนัง ประกอบขึ้นจากเครื่องดนตรี 2 ชนิด คือ "โทน" มีส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ หุ่นหรือตัวกลอง หน้ากลอง ไส้ละมาน สายเร่งเสียง และ ห่วงคอ ในขณะที่ "รำมะนา" มีส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ หุ่นหรือตัวกลอง หน้ากลอง แส้ และสนับ กลองทั้งสองชนิดมีส่วนประกอบย่อยที่มีความสำคัญ คือ “ปากนกแก้ว” คือ ส่วนของขอบปากกลองด้านในที่ทำมุมลาดงุ้มลงไปในหุ่นกลองเพื่อไม่ให้กระทบกับแผ่นหนังเวลาตี และยังเป็นส่วนที่ใช้เป็นช่องสำหรับสอดสนับเพื่อหนุนหนังหน้ากลองรำมะนา บนหุ่นกลองอาจมีส่วนประดับตกแต่งด้วยลวดลายนูนบนตัวกลองเรียกว่า “ชุดลวดบัว” และ “ลูกแก้ว” วัสดุที่ใช้สร้างหุ่นโทนที่เป็นที่นิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้แก่ ดินเผา ไม้ ปูน และเซรามิกส์ ในขณะที่วัสดุที่ใช้สร้างหุ่นรำมะนานิยมทำจากไม้เป็นหลักทั้งไม้เนื้อแข็งและไม้เนื้ออ่อน หนังที่เป็นที่นิยมในอดีตจนถึงปัจจุบันได้แก่ หนังวัว หนังแพะ และหนังงู โดยเฉพาะหนังงูงวงช้างซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นหนังที่ให้คุณภาพเสียงที่ดี และพบว่ากลองโทนในอดีตได้มีการนำเอาหวายมาผ่าและผูกโยงเป็นสายเร่งเสียงด้วย ซึ่งในปัจจุบันไม่พบวิธีการดังกล่าวอีก แต่ได้ใช้เชือกร่ม สายเอ็น และ “ไหมควั่นอย่างสายซอแทน” [1]
ประวัติและพัฒนาการของโทนรำมะนา
ในอดีตโทนมีบทบาทในการละเล่นดอกสร้อยสักวาและวงดนตรีเครื่องสายของราษฎร รวมไปถึงวงมโหรีในราชสำนักมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยโทนถูกใช้บรรเลงในบทบาทหน้าที่ของเครื่องควบคุมจังหวะหน้าทับสำหรับวงมโหรีเครื่องสี่เป็นลำดับแรก “โดยยังไม่มีรำมะนาเข้ามาผสม” [2] เมื่อได้มีการปรับปรุงนำเอารำมะนาเข้ามาร่วมบรรเลงในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลายแล้ว ทำให้บทบาทของโทนที่เคยใช้บรรเลงเพียงใบเดียวในวงมโหรีเปลี่ยนไป และได้ใช้ยึดถือเอาโทนคู่กับรำมะนา เป็นเครื่องประกอบจังหวะหน้าทับสำหรับการบรรเลงในวงมโหรี และวงเครื่องสายเป็นการเฉพาะมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้แล้วโทนรำมะนายังถูกใช้เป็นเครื่องควบคุมจังหวะหน้าทับในการเดี่ยวเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องสายด้วย
วิธีการบรรเลงโทนรำมะนา
วิธีการบรรเลงโทนและรำมะนาเป็นเสียงต่าง ๆ นั้น ใช้วิธีการตี มี 2 ชนิด คือ (1) วิธีการตีแบบแยกคน เป็นวิธีการบรรเลงแบบประเพณีนิยมที่เคยใช้ในราชสำนัก โดยใช้ผู้บรรเลง 2 คน ตีโทนและรำมะนาแยกจากกัน และ (2) การตีคนเดียว เป็นวิธีการแบบสมัยนิยมในปัจจุบัน โดยใช้ผู้บรรเลงเพียงคนเดียวตีทั้งโทนและรำมะนา การบรรเลงทั้ง 2 แบบนั้นสามารถบรรเลงได้ทั้งในท่านั่งขัดสมาธิ ท่านั่งพับเพียบ หรือแม้กระทั้งการนั่งห้อยเท้าบนตั่งหรือเก้าอี้ โดยจะต้องให้โทนวางอยู่ทางขวามือ และรำมะนาวางอยู่ทางซ้ายมือของผู้บรรเลงเสมอ โดยใช้ตำแหน่งต่าง ๆ บนนิ้วมือและฝ่ามือตีลงบนหน้ากลอง ให้สัมพันธ์กับคุณภาพเสียงของโทนรำมะนา เป็นเสียงต่าง ๆ ในปัจจุบันเสียงที่เป็นหลักในการบรรเลงสำหรับโทนรำมะนา มี 5 เสียง ได้แก่ “ติง” “จ๊ะ หรือ นะ” “จ๋ง” “ทั่ง หรือ ทั่ม” และ “ถะ” ส่วนเสียงที่เป็นกลวิธีพิเศษอื่น ๆ ที่เกิดจากการประคบมือ มี 5 เสียง ได้แก่เสียง “ตลิง” “ติด” “ตลิด” “กรอด” “เจ๊าะ” และ “ถาด” รวมเป็นเสียงประกอบของสำหรับการกำกับจังหวะหน้าทับโทนรำมะนาทั้งสิ้น 10 เสียง
อ้างอิง
- ↑ อุทิศ นาคสวัสดิ์. [ม.ป.ป.]. คู่มือแบบฝึกหัดโทนรำมะนา. กรุงเทพ: พิทักษ์อักษร. (เอกสารอัดสำเนา)
- ↑ มนตรี ตราโมท. 2505. เครื่องสายไทย. หนังสือประชุมเพลงไทยเดิมของกรมศิลปากร. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนายเปกข์ สุขวงศ์ ณ เมรุวัดธาตุทอง วันที่ 10 พฤษภาคม 2505. อ้างถึงใน ศิวศิษฎ์ นิลสุวรรณ. การขึ้นหน้าโทน รำมะนา ด้วยหนังงูเหลือม. วารสารศิลปกรรม 22 (กันยายน 2555) : 45-61.