ฝึกแรงต้านเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อขา

จาก ChulaPedia

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
 
(การแก้ไข 4 รุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล)
แถว 1: แถว 1:
   
   
 +
== งานวิจัย ==
 +
'''เรื่องผลของการเรียนการสอนฟุตบอลโดยใช้โปรแกรมการฝึกแรงต้านที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อขาของนักกีฬาฟุตบอลระดับอุดมศึกษา'''
 +
 +
'''THE  EFFECTS  OF  FOOTBALL  INSTRUCTION  USING  A  RESISTANCE  TRAINING  PROGRAM  ON  THE POWER  OF  LEG  MUSCLES  OF  HIGHER  EDUCATION  FOOTBALL  PLAYERS'''
 +
 +
== ผู้วิจัย ==
 +
นางสาวไอยย์ศรัย  พีรภาพรกุล  นิสิตระดับปริญญามหาบัญฑิต
 +
 +
สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 +
 +
อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบูรณ์ อินทร์ถมยา
 +
 +
== บทคัดย่อ ==
== บทคัดย่อ ==
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกฟุตบอลโดยใช้โปรแกรมการฝึกแรงต้านที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อขา  
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกฟุตบอลโดยใช้โปรแกรมการฝึกแรงต้านที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อขา  
แถว 21: แถว 34:
5. หลังการทดลอง 8  สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีพลังกล้ามเนื้อขา มากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
5. หลังการทดลอง 8  สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีพลังกล้ามเนื้อขา มากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
-
 
-
 
-
== ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ==
 
-
กีฬาฟุตบอลได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและเป็นที่นิยมมากในทั่วโลก  กีฬาฟุตบอลนอกจากจะแข่งขันในเรื่องของเกม และเทคนิคต่างๆ แล้วยังต้องแข่งขันกันในเรื่องของสมรรถภาพทางกายด้วย  สมรรถภาพทางกายที่สมบูรณ์ในขณะทำการแข่งขันจะทำให้นักกีฬามีโอกาสแสดงขีดความสามารถของตนเองได้อย่างเต็มที่ และสามารถที่จะเล่นได้ตามแผนที่วางไว้  การเคลื่อนไหวในกีฬาฟุตบอลเป็นไปได้หลายรูปแบบ เช่น การทุ่มลูกบอล การหยุดลูกบอล การเลี้ยงลูกบอล การโหม่งลูกบอล และการเตะลูกบอลในท่าต่าง ๆ เป็นต้น พลังกล้ามเนื้อเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากประการหนึ่งของกีฬาฟุตบอล ที่จะทำให้การเคลื่อนไหวในการเล่นฟุตบอลมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เนื่องจากการเคลื่อนไหวเกือบทุกอย่างของร่างกายในการเล่นฟุตบอล ต้องการพลังกล้ามเนื้อเพื่อต่อสู้กับแรงต้านทาน กล่าวคือ นักกีฬาฟุตบอลจำเป็นต้องมีพลังกล้ามเนื้อขาที่ดี ในการเตะสกัดลูกบอลได้ไกลและวิ่งเข้าแย่งยิงประตูได้อย่างรวดเร็ว และอีกประการที่สำคัญ กีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาประเภทที่เล่นติดต่อกันเป็นเวลานานแต่มีลักษณะไม่  สม่ำเสมอ การทำงานของกล้ามเนื้อจะเป็นแบบผสม คือ บางครั้งต้องใช้ความอดทนและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การวิ่งขึ้น-ลงตลอดระยะเวลา 90 นาที และบางครั้งต้องใช้พลังกล้ามเนื้อ เช่น การเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อเข้าแย่งลูกบอลหรือการวิ่งแข่งยิงประตูในระยะใกล้  พลังกล้ามเนื้อยังมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้ทันที คือ เมื่อกล้ามเนื้อมีพลังมากก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น จึงสามารถเคลื่อนไหวได้ซ้ำ ๆ และบ่อยกว่า และยังพบว่าพลังกล้ามเนื้อ มีส่วนเกี่ยวข้องกับความคล่องแคล่วของร่างกาย เพราะเมื่อกล้ามเนื้อมีพลังเพียงพอในการควบคุมน้ำหนักของร่างกายต่อต้านแรงเฉื่อย จะทำให้ร่างกายส่วนต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น พลังกล้ามเนื้อยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มความเร็ว  เพราะต้องการแรงมากเพื่อเร่งร่างกายให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง  ในปัจจุบันการฝึกด้วยแรงต้านทานได้เข้ามามีบทบาทจนถือได้ว่าถูกบรรจุเข้าไว้เป็นสวนหนึ่งของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและเพื่อสมรรถภาพ ซึ่งผลของการฝึกที่ได้มีการเตรียมการอย่างถูกต้องเหมาะสมจะช่วยพัฒนาร่างกายให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การทำงานที่ต้องออกแรงต้านทานกับแรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทางการกีฬาหรือแรงดึงดูดของโลก ล้วนต้องการความสามารถของกล้ามเนื้อที่จะหดตัวให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งองค์ประกอบด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจัดได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดระดับความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อที่ต้องออกแรงทำงานกับแรงต้านทาน กล่าวได้ว่าการการฝึกด้วยแรงต้านทานเป็นวิธีฝึกอีกอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ ทั้งยังเป็นการช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บ
 
แถว 35: แถว 44:
''' นักกีฬาฟุตบอลระดับอุดมศึกษา'''  หมายถึง  นักกีฬาฟุตบอลตัวแทนมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ปีการศึกษา 2554  ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาบัณฑิต
''' นักกีฬาฟุตบอลระดับอุดมศึกษา'''  หมายถึง  นักกีฬาฟุตบอลตัวแทนมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ปีการศึกษา 2554  ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาบัณฑิต
 +
 +
 +
== เอกสารอ้างอิง ==
 +
 +
1. กิตติพงษ์ เพ็งศรี. 2549. ผลการฝึกพลัยโอเมตริกที่มีต่อความแข็งแรงและพลังกล้ามเนื้อขา. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 
 +
 +
2. ชูศักดิ์ เวชแพศย์ และ กันยา ปาละวิวัธน์. 2536. สรีรวิทยาการออกกำลังกาย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร: ธรรกมลการพิมพ์.
 +
 +
3. บุญชู  หนูสลุง. 2552. ผลของโปรแกรมการฝึกแรงต้านที่มีต่อความสามารถในการยิงประตูฟุตซอล ณ จุด โทษจุด ที่สอง ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
 +
 +
4. พงษ์เอก สุกใส. 2548. การพัฒนาโปรแกรมการฝึกเพื่อปรับปรุงจุดเริ่มล้าในนักกีฬาฟุตบอล. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต  ภาควิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
 +
 +
5. พิชิต ภูติจันทร์. 2547. การฝึกยกน้ำหนักเบื้องต้น. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์.
 +
 +
6. สนธยา สีละมาด. 2547. หลักการฝึกกีฬาสำหรับผู้ฝึกสอนกีฬา. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
 +
 +
7. อภิลักษณ์ เทียนทอง. 2541. ผลของการฝึกกระโดดเท้าคู่ข้ามรั้วที่ระยะห่างระหว่างรั้วต่างกันต่อความเร็ว ในการวิ่งระยะทาง 40 เมตร ในนักกีฬาฟุตบอล. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต  ภาควิชา วิทยาศาสตร์การกีฬา คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
 +
 +
8. Bompa,O.Periodization. 1993. Training for Sports: the New Wave in Strength Training.Toronto: Veritas.
 +
 +
9. Kim, Sang H. 1999. Taekwando Kyorugi. 2rd ed. Wethersfield: Turtle.
 +
 +
10. Newton,RU.,and Kraemer,w.J. 1994.  “Developing Explosive Muscular Power : lmplications  for a Mixed Methods Training Strategy”. National Strength and Conditioning  Association  Journal.
 +
 +
11. Schmidtbleicher, D. 2000. Training for Power Events. In P.V.Komi(ed), Strength and Power in Sport. London: Blackwell Scientific.
 +
 +
12. Umberger,R. 1998. “Mechanics of the Vertical Jump and Two-Joint Muscles :Implications For Training”. National Strength and Conditioning Association Journal.

รุ่นปัจจุบันของ 15:01, 18 สิงหาคม 2555

เนื้อหา

งานวิจัย

เรื่องผลของการเรียนการสอนฟุตบอลโดยใช้โปรแกรมการฝึกแรงต้านที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อขาของนักกีฬาฟุตบอลระดับอุดมศึกษา

THE EFFECTS OF FOOTBALL INSTRUCTION USING A RESISTANCE TRAINING PROGRAM ON THE POWER OF LEG MUSCLES OF HIGHER EDUCATION FOOTBALL PLAYERS

ผู้วิจัย

นางสาวไอยย์ศรัย พีรภาพรกุล นิสิตระดับปริญญามหาบัญฑิต

สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบูรณ์ อินทร์ถมยา


บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกฟุตบอลโดยใช้โปรแกรมการฝึกแรงต้านที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อขา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬาฟุตบอลชายระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 40 คน ทำการจัดกลุ่มแบบ Match Group Method เพื่อเลือกกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ20 คน โดยกลุ่มทดลองใช้การเรียนการสอนฟุตบอลโดยใช้โปรแกรมการฝึกแรงต้านสัปดาห์ละ 3 วัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ร่วมกับการฝึกตามปกติ กลุ่มควบคุมใช้การเรียนการสอนฟุตบอล ทดสอบพลังกล้ามเนื้อขาก่อนการทดลอง หลังการทดลอง 4 สัปดาห์ และ 8 สัปดาห์ทั้งสองกลุ่ม นำผลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่า “ที” และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว แบบวัดซ้ำ (One-Way Analysis of Variance with Repeated Measures) ถ้าพบความแตกต่างจึงเปรียบเทียบความแตกต่างเป็นรายคู่ โดยวิธี การของแอล เอส ดี (LSD) ทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ผลการวิจัยมีดังนี้

1. หลังการทดลอง 4 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีพลังกล้ามเนื้อขามากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

2. หลังการทดลอง 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีพลังกล้ามเนื้อขามากกว่าหลังการทดลอง 4 สัปดาห์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

3. หลังการทดลอง 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีพลังกล้ามเนื้อขา มากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

4. หลังการทดลอง 4 สัปดาห์ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีพลังกล้ามเนื้อขา ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

5. หลังการทดลอง 8 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีพลังกล้ามเนื้อขา มากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


คำสำคัญ

โปรแกรมการฝึกแรงต้าน หมายถึง โปรแกรมการฝึกที่มีน้ำหนักเพื่อเพื่อต้านการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องฝึกด้วยน้ำหนัก ดัมเบลล์ เป็นต้น ทำให้กล้ามเนื้อหรือกลุ่มของกล้ามเนื้อต้องออกแรงเพิ่มมากขึ้นในการเคลื่อนไหว

โปรแกรมเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย หมายถึง โปรแกรมการฝึกในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเน้นองค์ประกอบต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับกีฬาฟุตบอล ให้เกิดการพัฒนาขึ้น เช่น การวิ่งระยะสั้น การวิ่งระยะยาว การวิ่งซิกแซ็ก วิ่งยกเข่าสูง วิ่งสไลด์ เป็นต้น

พลังกล้ามเนื้อ หมายถึง ความสามารถในการหดตัวหรือออกแรงในการทำงานของกล้ามเนื้อเพียงหนึ่งครั้งในการปล่อยแรง (Force) ออกมาอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด วัดโดยการกระโดดเต็มแรงในแนวดิ่ง (Vertical Jump)

นักกีฬาฟุตบอลระดับอุดมศึกษา หมายถึง นักกีฬาฟุตบอลตัวแทนมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ปีการศึกษา 2554 ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาบัณฑิต


เอกสารอ้างอิง

1. กิตติพงษ์ เพ็งศรี. 2549. ผลการฝึกพลัยโอเมตริกที่มีต่อความแข็งแรงและพลังกล้ามเนื้อขา. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

2. ชูศักดิ์ เวชแพศย์ และ กันยา ปาละวิวัธน์. 2536. สรีรวิทยาการออกกำลังกาย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร: ธรรกมลการพิมพ์.

3. บุญชู หนูสลุง. 2552. ผลของโปรแกรมการฝึกแรงต้านที่มีต่อความสามารถในการยิงประตูฟุตซอล ณ จุด โทษจุด ที่สอง ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

4. พงษ์เอก สุกใส. 2548. การพัฒนาโปรแกรมการฝึกเพื่อปรับปรุงจุดเริ่มล้าในนักกีฬาฟุตบอล. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

5. พิชิต ภูติจันทร์. 2547. การฝึกยกน้ำหนักเบื้องต้น. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์.

6. สนธยา สีละมาด. 2547. หลักการฝึกกีฬาสำหรับผู้ฝึกสอนกีฬา. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

7. อภิลักษณ์ เทียนทอง. 2541. ผลของการฝึกกระโดดเท้าคู่ข้ามรั้วที่ระยะห่างระหว่างรั้วต่างกันต่อความเร็ว ในการวิ่งระยะทาง 40 เมตร ในนักกีฬาฟุตบอล. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชา วิทยาศาสตร์การกีฬา คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

8. Bompa,O.Periodization. 1993. Training for Sports: the New Wave in Strength Training.Toronto: Veritas.

9. Kim, Sang H. 1999. Taekwando Kyorugi. 2rd ed. Wethersfield: Turtle.

10. Newton,RU.,and Kraemer,w.J. 1994. “Developing Explosive Muscular Power : lmplications for a Mixed Methods Training Strategy”. National Strength and Conditioning Association Journal.

11. Schmidtbleicher, D. 2000. Training for Power Events. In P.V.Komi(ed), Strength and Power in Sport. London: Blackwell Scientific.

12. Umberger,R. 1998. “Mechanics of the Vertical Jump and Two-Joint Muscles :Implications For Training”. National Strength and Conditioning Association Journal.

เครื่องมือส่วนตัว