ทฤษฎีหลักสูตร

จาก ChulaPedia

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(ทฤษฎีหลักสูตรและรูปแบบของหลักสูตรแกน)
แถว 13: แถว 13:
           เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาหลักสูตรแกนที่ใช้ในปัจจุบันจะพบว่า  มีลักษณะเป็นแกนแบบแยกวิชา ภายใต้อุดมการณ์และเป้าหมายของแต่ละวิชาที่ไม่เชื่อมโยงกัน  มากว่าจะเป็นแกนที่เกิดจากการ    หลอมรวมวิชาภายใต้บริบทปัญหาจริงในชีวิต ผลที่ตามมาก็คือ ผู้เรียนไม่สามารถที่จะประยุกต์ความรู้ในลักษณะ “ข้ามศาสตร์ ”ได้  และความรู้ที่เรียนไปไม่สามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาในชีวิต เพราะเป็นการเรียนจากตัวองค์ความรู้และพยายามที่จะ  “ลากเข้าความ”  ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่มาก  เห็นได้ว่า  ผู้เรียนจะตั้งคำถามทันทีว่า “เรียนเรื่องนี้ไปทำไม” หรือ  “เรียนแล้วนำไปใช้อะไรได้”  ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการศึกษาที่ใช้ตัวศาสตร์หรือตัวองค์ความรู้เป็นตัวตั้ง  โดยธรรมชาติจะมิได้มุ่งเน้นการนำไปใช้  ซึ่งต่างจากการนำปัญหาหรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสังคมที่อยู่รอบตัวผู้เรียนมาเป็นตัวตั้งหรือเป็นแกน แล้วนำศาสตร์สาขาต่างๆ มาใช้ศึกษาหรือแก้ปัญหา เช่นนี้ ผู้เรียนย่อมจะเกิดความเข้าใจเพราะสิ่งที่ศึกษานั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต คือ  เชื่อมโยงกับปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่ได้  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัญหาชีวิตในช่วงวัยต่างๆ ปัญหาการปรับตัวหรือความสัมพันธ์ในครอบครัว  ปัญหาด้านเศรษฐกิจ  ความสัมพันธ์เชิงพหุวัฒนธรรม  สุขภาพ  หรือแม้แต่กระทั่งปัญหาในระดับชาติ เป็นต้น
           เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาหลักสูตรแกนที่ใช้ในปัจจุบันจะพบว่า  มีลักษณะเป็นแกนแบบแยกวิชา ภายใต้อุดมการณ์และเป้าหมายของแต่ละวิชาที่ไม่เชื่อมโยงกัน  มากว่าจะเป็นแกนที่เกิดจากการ    หลอมรวมวิชาภายใต้บริบทปัญหาจริงในชีวิต ผลที่ตามมาก็คือ ผู้เรียนไม่สามารถที่จะประยุกต์ความรู้ในลักษณะ “ข้ามศาสตร์ ”ได้  และความรู้ที่เรียนไปไม่สามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาในชีวิต เพราะเป็นการเรียนจากตัวองค์ความรู้และพยายามที่จะ  “ลากเข้าความ”  ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่มาก  เห็นได้ว่า  ผู้เรียนจะตั้งคำถามทันทีว่า “เรียนเรื่องนี้ไปทำไม” หรือ  “เรียนแล้วนำไปใช้อะไรได้”  ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการศึกษาที่ใช้ตัวศาสตร์หรือตัวองค์ความรู้เป็นตัวตั้ง  โดยธรรมชาติจะมิได้มุ่งเน้นการนำไปใช้  ซึ่งต่างจากการนำปัญหาหรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสังคมที่อยู่รอบตัวผู้เรียนมาเป็นตัวตั้งหรือเป็นแกน แล้วนำศาสตร์สาขาต่างๆ มาใช้ศึกษาหรือแก้ปัญหา เช่นนี้ ผู้เรียนย่อมจะเกิดความเข้าใจเพราะสิ่งที่ศึกษานั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต คือ  เชื่อมโยงกับปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่ได้  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัญหาชีวิตในช่วงวัยต่างๆ ปัญหาการปรับตัวหรือความสัมพันธ์ในครอบครัว  ปัญหาด้านเศรษฐกิจ  ความสัมพันธ์เชิงพหุวัฒนธรรม  สุขภาพ  หรือแม้แต่กระทั่งปัญหาในระดับชาติ เป็นต้น
-
 
-
          ข้อควรวิพากษ์สำหรับหลักสูตรแกนที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนักหลักสูตรและบุคลากรฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควรที่จะให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือ  เรายังจำเป็นจะต้องพัฒนาหลักสูตรตาม      กระบวนทัศน์ใหม่ อันเป็นกระบวนทัศน์ที่จะนำไปสู่การสร้างแกนกลางที่แท้จริงหรือไม่ และการที่เราใช้แกนจากวิชามากำหนดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน ให้มีความรู้หนึ่ง ทักษะหนึ่ง แยกกันไปตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 สาระการเรียนรู้เช่นนี้ จะก่อผลอย่างไรต่อผู้เรียนของเรา  อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรแกนตามกระบวนทัศน์ใหม่ว่า จะต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนความคิดของครูในฐานะผู้ใช้หลักสูตรแกนจากเดิมที่เชื่อว่า หลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ประกอบด้วยรายวิชาต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานและจำเป็นสำหรับผู้เรียน มาเป็นความคิดว่า หลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ประกอบด้วยประสบการณ์ต่างๆ ที่ผู้เรียนได้จากการศึกษาปัญหาทั้งของตนเองและชุมชน ผ่านการบูรณาการศาสตร์สาขาต่างๆ ด้วยเหตุนี้
 
-
 
-
          1.  ความเป็นรายวิชาต่างๆ จะสิ้นสุดลง  ชื่อวิชาตามศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น ชีววิทยา คณิตศาสตร์  ประวัติศาสตร์  ฯลฯ  ที่เป็นแบบตรงตัวจะหายไป และจะมีชื่อวิชา เช่น พลังงานทดแทน  คุณภาพชีวิต  ภาวะโลกร้อน  เอดส์และโรคติดต่อ  ฯลฯ จะเข้ามาแทนในลักษณะหัวเรื่อง (theme) ที่จะเชื่อมโยงกับศาสตร์หรือวิทยาการต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางแทน
 
-
 
-
          2. ตารางเรียนแบบแยกช่วงเวลาในแต่ละรายวิชาจะสิ้นสุดลง  กลายเป็นตารางเรียนที่มีความยืดหยุ่น และแสดงการใช้เวลาในแต่ละหัวเรื่องที่มากขึ้น เช่น ศึกษาหัวเรื่องหนึ่งอาจต้องใช้เวลาศึกษา      2 สัปดาห์ เป็นต้น
 
-
 
-
          3.  การวัดประเมินผลแบบแยกรายวิชาจะสิ้นสุดลง  แต่มุ่งเน้นการประเมินความสามารถในการประยุกต์ความรู้และทักษะจากวิชาต่างๆ มาแทนขณะที่ปฏิบัติกิจกรรมภายใต้หัวเรื่องหนึ่งๆ  ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ผู้ประเมินหลายคน และมิได้ใช้แต่เฉพาะแบบทดสอบในการประเมินเท่านั้น 
 
-
 
-
          4.  บทบาทในการแสดงความเชี่ยวชาญในศาสตร์สาขาที่ตนเองรับผิดชอบเพียงลำพังจะ    สิ้นสุดลง แต่จะต้องเพิ่มบทบาทของผู้ช่วยเหลือและเชื่อมโยงศาสตร์ของตนเองเข้ากับวิทยาการ      สาขาอื่นๆ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ครูจะเป็นผู้  “รู้ลึก”  อย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป แต่จะต้องเป็นผู้ “รู้รอบ” และทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ได้อย่างไม่ลำบากใจ
 
-
 
-
          คำถามคือ เมื่อหลักสูตรแกนตามกระบวนทัศน์ใหม่เป็นเช่นนี้  แล้วสังคมไทย ผู้จัดการศึกษากระแสหลักของไทยจะยอมรับได้หรือไม่  จะสามารถที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อปฏิบัติทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่  จะมีใครบ้างที่ยอมปรับเปลี่ยน จะมีใครบ้างที่จะยอมลดบทบาทในแกนหรือศาสตร์ของตนเองไป  เหล่านี้ล้วนแต่เป็นโจทย์ที่อาจจะยากในการแก้  แต่อย่างไรเสียก็เป็นโจทย์ที่มีคำตอบ  ซึ่งจะถูกหรือผิดนั้น ก็จะต้องผ่านการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักหลักสูตร ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์ต่างๆ  ของหลักสูตร และตั้งคำถามในทันทีที่เห็นสัญญาณของมายาภาพบางอย่างของหลักสูตรเกิดขึ้น 
 
-
 
-
______________________________________________________
 
-
 
-
รายการอ้างอิง
 
-
 
-
The Association of American Colleges and Universities.  2012.  What is Liberal      Education?[Online]. Available from: http://www.aacu.org/leap/What_is_liberal_education.cfm[2012, April 11].
 
-
 
-
ผู้เขียน อ.เฉลิมลาภ ทองอาจ
 
-
          โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
 
-
          คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 

การปรับปรุง เมื่อ 07:21, 1 มิถุนายน 2555

                                                                     หลักสูตรแกน: สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น

          เมื่อครั้งที่เริ่มประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในราวปี พ.ศ. 2551-2553 นั้น  ความเข้าใจบุคคลากรทางการศึกษาส่วนใหญ่เกี่ยวกับคำว่า “หลักสูตรแกนกลาง” ซึ่งแปลจากคำว่า “core curriculum” นั้น ค่อนข้างจะเห็นสอดคล้องไปในทำนองว่า  หลักสูตรแกน หมายถึง ชุดของความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักเรียนทุกคน  ที่จะต้องทราบหรือปฏิบัติได้ (should know and be able to do) เมื่อสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร  จากความเข้าใจดังกล่าว หลักสูตรแกนจึงมีฐานะเป็นกลุ่มหรือชุดของวิชาความรู้ต่างๆ ที่ผู้เรียนทุกคนจำเป็นจะ “ต้อง” เรียนเหมือนกัน  (required for all students) เพื่อให้สำเร็จการศึกษาในระดับขั้นพื้นฐาน 
         ที่จริงแล้ว ความเข้าใจดังกล่าวอาจมีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง  เนื่องจากแนวคิดเกี่ยวกับหลักสูตรแกนที่แท้จริงนั้น ค่อนข้างเชื่อมโยงกับแนวทางการจัดการศึกษาทั่วไปและการจัดการศึกษาเสรี (liberal education) ซึ่งมิได้มีมุมมองต่อหลักสูตรแกนว่าเป็นแต่เฉพาะชุดของวิชาหรือความรู้พื้นฐานเท่านั้น 
         สำหรับแนวคิดเรื่องการจัดการศึกษาทั่วไปสำหรับผู้เรียนทุกคน (general education) เป็น     การจัดการศึกษาที่มีเป้าหมายในเชิงปรัชญาว่า ผู้เรียนต้องสามารถแสวงหาอิสรภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของตนเองได้ (free human being) ดังนั้น ผู้เรียนจึงควรที่จะได้ศึกษาหาความรู้ต่างๆ อย่างกว้างขวาง  ฝึกปฏิบัติเพื่อถ่ายโอนทักษะ เช่น  การสื่อสาร  การวิเคราะห์และการแก้ปัญหาไปสู่สถานการณ์ต่างๆ ในการดำเนินชีวิตจริง และสร้างความรู้สึก ค่านิยม คุณธรรมและสำนึกพลเมืองและการรับผิดชอบต่อสังคม  (social responsibility)  ผ่านกระบวนการการเผชิญประเด็นปัญหาต่างๆ       ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ด้วยวิธีการศึกษาที่หลากหลายมากกว่าการใช้ความรู้จากเพียงวิชาเดียว (The Association of American Colleges and Universities, 2012: online) หลักสูตรแกนจึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายของการศึกษาทั่วไปและการศึกษาเสรี  ด้วยเหตุนี้ การมองว่าหลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่รวมชุดความรู้และทักษะพื้นฐานต่างๆ ซึ่งมีนัยถึงการแยกออกจากกันเป็นเอกเทศ  จึงยังไม่ครอบคลุมความหมายของหลักสูตรแกนที่แท้จริง และทำให้เกิดสมมติฐานเกี่ยวกับหลักสูตรแกนว่าประกอบด้วยรายวิชาต่างๆ ที่เป็นพื้นฐาน 
         นักหลักสูตรในยุคหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มพิพัฒนาการนิยม (1896-) ได้ใช้กระบวนทัศน์ใหม่ในการพิจารณาหลักสูตรแกน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของนักการศึกษาเสรี ที่เห็นว่า หลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ใช้ปัญหาหรือบทบาทหน้าที่เชิงสังคมของการมีชีวิตอยู่ของผู้เรียน (social functions of  living) หรือก็คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงๆ ของผู้เรียนมาเป็นหลักในการสร้างหลักสูตร        ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมไม่มีแยกเป็นรายวิชา ดังนั้น ความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะได้เรียน ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดจากการผสมผสานองค์ความรู้จากศาสตร์สาขาต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน (blending of knowledge)  แกนในที่นี้ จึงมิใช่แกนจากศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่เป็นแกนอันได้แก่ ความรู้ ทักษะ ค่านิยมหลักๆ ที่ควรจะเกิดขึ้นจากการศึกษาปัญหาต่างๆ  ในชีวิตประจำวันของผู้เรียน  ซึ่งรูปแบบหรือประเภทของหลักสูตรในปัจจุบัน ที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนก็คือ หลักสูตรบูรณาการ (integrated curriculum)  นั่นเอง
         จากมโนทัศน์ของหลักสูตรแกนข้างต้น เมื่อนำมาวินิจฉัยคำกล่าวที่ว่า หลักสูตรแกน ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ หรือองค์ความรู้แยกเป็น 8 สาระการเรียนรู้นั้น ก็จะเห็นได้ว่า มีความ  คลาดเคลื่อนไปมาก เพราะกระบวนทัศน์ของนักหลักสูตรในปัจจุบัน กล่าวถึงหลักสูตรแกนในลักษณะหลักสูตรแบบบูรณาการที่ได้หลอมรวมองค์ความรู้จากการวิชาต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  และองค์ความรู้เหล่านั้น จะใช้ไปเพื่อศึกษาและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้เรียน          หากกล่าวให้ชัดเจนขึ้น หลักสูตรแกนจึงมีลักษณะสำคัญ คือ  เป็นหลักสูตรแบบบูรณาการ เน้นไปที่การบูรณาการในลักษณะสหสาขาวิชา (interdisciplinary) ที่มีการผสมผสานหรือสอดแทรกความรู้ต่างๆ ข้ามวิชา โดยมุ่งศึกษาประเด็นต่างๆ (theme/issue) ที่ต้องอาศัยความรู้จากหลายสาขาวิชามาใช้แก้ปัญหาหรือสร้างความเข้าใจ  ลดการกำหนดช่วงเวลาเรียนที่ตายตัวและแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดมาเป็นการศึกษาร่วมกันด้วยการใช้ช่วงเวลาที่มากขึ้น  และอาจใช้บุคลากรผู้สอนซึ่งได้แก่ ครูวิชาต่างๆ และผู้เกี่ยวข้องภายนอกเข้ามาร่วมกิจกรรมการศึกษาหรือแก้ปัญหากับผู้เรียน ดังที่กล่าวมานี้      กระบวนทัศน์ใหม่ที่มีต่อหลักสูตรแกน คือ การพิจารณาว่า หลักสูตรแกนมิใช่หลักสูตรที่ประกอบด้วยความรู้และทักษะในรายวิชาต่างๆ ที่แยกกัน (แยกสอน แยกประเมิน)  แต่หลักสูตรแกนที่ “ควรจะเป็น”  คือ การบูรณาการความรู้และทักษะที่เป็นแกนหลักในทุกๆ สาขาวิชามาใช้ในการแก้ปัญหาหนึ่งๆ ในชีวิตจริงของผู้เรียน  (ร่วมสอน  ร่วมประเมิน)
         เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาหลักสูตรแกนที่ใช้ในปัจจุบันจะพบว่า  มีลักษณะเป็นแกนแบบแยกวิชา ภายใต้อุดมการณ์และเป้าหมายของแต่ละวิชาที่ไม่เชื่อมโยงกัน  มากว่าจะเป็นแกนที่เกิดจากการ    หลอมรวมวิชาภายใต้บริบทปัญหาจริงในชีวิต ผลที่ตามมาก็คือ ผู้เรียนไม่สามารถที่จะประยุกต์ความรู้ในลักษณะ “ข้ามศาสตร์ ”ได้  และความรู้ที่เรียนไปไม่สามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาในชีวิต เพราะเป็นการเรียนจากตัวองค์ความรู้และพยายามที่จะ  “ลากเข้าความ”   ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่มาก  เห็นได้ว่า  ผู้เรียนจะตั้งคำถามทันทีว่า “เรียนเรื่องนี้ไปทำไม” หรือ  “เรียนแล้วนำไปใช้อะไรได้”  ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการศึกษาที่ใช้ตัวศาสตร์หรือตัวองค์ความรู้เป็นตัวตั้ง  โดยธรรมชาติจะมิได้มุ่งเน้นการนำไปใช้  ซึ่งต่างจากการนำปัญหาหรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสังคมที่อยู่รอบตัวผู้เรียนมาเป็นตัวตั้งหรือเป็นแกน แล้วนำศาสตร์สาขาต่างๆ มาใช้ศึกษาหรือแก้ปัญหา เช่นนี้ ผู้เรียนย่อมจะเกิดความเข้าใจเพราะสิ่งที่ศึกษานั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต คือ  เชื่อมโยงกับปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่ได้  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปัญหาชีวิตในช่วงวัยต่างๆ ปัญหาการปรับตัวหรือความสัมพันธ์ในครอบครัว  ปัญหาด้านเศรษฐกิจ  ความสัมพันธ์เชิงพหุวัฒนธรรม  สุขภาพ  หรือแม้แต่กระทั่งปัญหาในระดับชาติ เป็นต้น
เครื่องมือส่วนตัว