น้ำมันดิบ (Crude Oil)

จาก ChulaPedia

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
Spiti (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย 'บทความต่อไปนี้เป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับการพิจ…')
แตกต่างถัดไป →

การปรับปรุง เมื่อ 01:20, 19 สิงหาคม 2553

บทความต่อไปนี้เป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องน้ำมันดิบและการกำหนดราคาน้ำมันดิบในมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ


การจำแนกคุณภาพน้ำมันดิบ [1]

โดยปกติแล้วน้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาจากใต้พื้นดิน หรือจากใต้ทะเล มักจะเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ได้จากการทับถมของซากพืชซากสัตว์โบราณ (ฟอสซิล) ที่หมักหมมทับถมอยู่ในแอ่งระหว่างชั้นหินชั้นดินมานานนมชั่วนาตาปี ซึ่งน้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้นี้ไม่ได้มีความบริสุทธิ์ 100% และพร้อมที่จะนำมากลั่นเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยม มันยังมีสารเคมีอื่นๆ ผสมปนเปอยู่ด้วย โดยสารตัวหนึ่งที่ต้องกำจัดออกก่อนที่จะนำไปกลั่นเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยม (เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซลที่เราใช้เติมรถยนต์) นั่นคือ กำมะถัน (Sulfur)

กำมะถันคือธาตุตัวเดียวกับที่ทำให้เวลาเราไปเที่ยวน้ำพุร้อนบางแห่งแล้วได้กลิ่นก๊าซไข่เน่านั่นเอง (ในกรณีนั้นคือในแอ่งของชั้นหินหรือชั้นดินนั้นๆ มีตาน้ำอยู่ครับ แล้วน้ำนั้นก็ถูกต้มโดยความร้อนจากใต้พิภพ) กำมะถันเป็นสารที่ต้องสกัดออกไปก่อนในกระบวนการกลั่น มิฉะนั้นมันจะทำให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยมชนิดต่างๆ ที่เรากลั่นได้จากน้ำมันดิบมีฤทธิ์เป็นกรด ถ้าเอาไปใช้เติมเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ เครื่องยนต์ก็จะสึกกร่อนและมีอายุการใช้งานที่สั้นลง

เนื่องจากกำมะถันที่ปนอยู่ในเนื้อน้ำมันมักจะอยู่ในรูปของ ก๊าซ hydrogen sulfide ซึ่งมีคุณสมบัติในการกัดกร่อน และเป็นสารที่มีพิษ ดังนั้นน้ำมันดิบที่มีกำมะถันปนอยู่ในสัดส่วนที่สูง มีฤทธิ์เป็นกรด จึงถูกเรียกโดยใช้คำแสลงว่า Sour Crude Oil (Sour แปลว่า รสเปรี้ยว, หรือเป็นคำแสลงแปลว่า ของคุณภาพไม่ดี) แต่ถ้าเป็นน้ำมันดิบที่มีกำมะถันเจือปนอยู่ในสัดส่วนต่ำกว่า 0.5% เราจะใช้ศัพท์เทคนิคเรียกว่า Sweet Crude Oil (Sweet แปลว่า รสหวาน)

นอกจากน้ำมันดิบจะแตกต่างกันที่การมีกำมะถันเจือปนอยู่มากน้อยแค่ไหนแล้ว ความหนาแน่น หรือความข้น – ความใสของน้ำมันดิบก็เป็นคุณสมบัติที่กำหนดคุณภาพของน้ำมันดิบเช่นเดียวกันครับ น้ำมันดิบที่มีลักษณะเป็นของเหลวที่ไม่ข้นจนเกินไป จะทำให้การกลั่นทำได้ง่ายและต้นทุนการกลั่นก็จะต่ำ ดังนั้นน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นต่ำ ที่เรียกว่า Light Crude Oil นี้จึงมีราคาสูง และในทางตรงกันข้ามน้ำมันดิบที่มีลักษณะหนืดข้น มีความหนาแน่นสูงที่เรียกว่า Heavy Crude Oil ก็จะต้องกลั่นด้วยความยากลำบากและมีต้นทุนในการกลั่นที่สูงขึ้น ดังนั้นน้ำมันดิบประเภทนี้ก็จะมีราคาซื้อขายลดต่ำลงมา


อ้างอิงผิดพลาด: <ref> tags exist, but no <references/> tag was found
เครื่องมือส่วนตัว