รอยประทับของภาพสะท้อน

จาก ChulaPedia

ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

จักริน วิภาสวัชรโยธิน

เข้าเรื่องมากว่า 2 ชั่วโมงแล้ว แต่หนังสัญชาติอิตาเลียนเรื่องใหม่เอี่ยมกลับยังมีแก่ใจโอ้เอ้วิหารรายอยู่กับภาพอนงค์นางวิ่งไปตามเฉลียงจากระยะไกลลิบ คนดูของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ค.ศ.1960 พากันตะโกน "ตัด" "ตัด" แข่งกับเสียงโห่ฮาป่าและสาปส่ง

วีรกรรมการเล่าเรื่องใน L'avventura ของผู้กำกับมิเกลันเจโล แอนโทนิโอนี(Michelangelo Antonioni)โดยเปิดโอกาสให้แต่ละคาบ แต่ละฉากเหตุการณ์คลี่คลายไปตามระยะเวลาจริงแทนที่จะลัดเล็มถ่ายทอดเฉพาะจุดหักเหหรือจูงจมูกคนดูไว้ตลอดเวลา ได้รับการตอบสนองจากคนดูด้วยท่าทีดังกล่าว การฉายครานั้นล่มไม่เป็นท่า แอนโทนิโอนีและนักแสดงนำคือ มอนิกา วิตติ(Monica Vitti)ต้องเผ่นออกจากโรงฉายจ้าละหวั่น

เช้าวันรุ่งขึ้นผู้กำกับและนักวิจารณ์ที่เข้าร่วมงานเทศกาลเข้าชื่อในจดหมายลูกโซ่ประท้วงพฤติกรรมของคนดูและเรียกร้องให้ฉายผลงานที่ได้ชื่อว่าเป็นงานยุคใหม่ที่มาปลดแอกกาล-อวกาศ อันนับเป็นการปฏิวัติวงการ ซ้ำอีกรอบ ผู้จัดงานเทศกาลจัดฉาย L'avventura อีกครั้งและตั้งรางวัลพิเศษด้านความงามในการใช้ภาพและการสร้างมิติใหม่แก่ภาษาภาพยนตร์มอบให้หนัง

เพียงสองปีให้หลัง L'avv ก็ไปผงาดอยู่ในทำเนียบหนังยอดเยี่ยมตลอดกาลจากการสำรวจของนิตยสาร Sight and Sound โดยมีอันดับเป็นรองเพียง Citizen Kane ผลงานของออร์สัน เวลส์(Orson Welles)ซึ่งออกฉายตั้งแต่ค.ศ.1941 นับเป็นการกลับลำครั้งสำคัญของวงการ(ใครจะไปคาดคิด อุบัติการณ์เช่นนั้นยากจะเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน) การที่หนังผงาดเป็นอันดับสองในทำเนียบหนังยอดเยี่ยมตลอดกาลสะท้อนถึงแรงศรัทธาอันท่วมท้นรวมถึงการเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ผู้กำกับต่อหนังเรื่องนี้ของแอนโทนิโอนี

เกียรติคุณดังกล่าวสะท้อนถึงฉันทามติในหมู่ผู้กำกับและนักวิจารณ์ต่อฐานภาพการเป็นผลงานพลิกโฉมประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และถึงพร้อมด้วยแก่นความคิด ชั้นเชิงแปลกใหม่แยบคายของหนังก็ควรค่าแก่การแซ่ซ้อง

32 ปีให้หลัง ในการจัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีรับชม ในจำนวนผู้ชมราว 20 คน มีอยู่แค่ 3 คนที่ชื่นชอบ L'avv ส่วนคนที่เหลือพากันก่นด่าว่าเป็นหนึ่งในงานที่สร้างความหงุดหงิดในการรับชมมากสุดเท่าที่พวกเขาเคยประสบ(บางรายถึงกับตะโกนสาปส่งระหว่างหนังกำลังฉายเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นมาแล้วที่คานส์) สัมพันธภาพลุ่ม ๆ ดอน ๆ ระหว่างคนดูกับ L'avv เกิดจากสาเหตุใด หนังสือสองเล่มของเดอเลิช(Gilles Deleuze)ในชื่อ Cinema 1: The movement-image และ Cinema 2: The time-image มีคำตอบเชิงทฤษฏีและกุญแจไขปริศนาทั้งส่วนที่เป็นก้อนอิฐและดอกไม้ ในผลงานของแอนโทนิโอนีเรื่องนี้

ในการสาธยายผังความคิดว่าด้วยปรากฏกาล(time-image)ของเดอเลิช เขาจะเน้นไปที่คุณค่าอันอาจเป็นหัวใจของการปลุกเร้าความพลุ่งพล่านทั้งทางบวกและทางลบซึ่งหนังอย่าง L'avv ร่ายนิมิตแห่งเวลาและอวกาศให้คนดูและนักวิจารณ์ได้เห็น รู้สึก และขบคิด

แอนโทนิโอนีเคยให้นิยาม Il grido งานค.ศ.1957 ของตนว่าเป็น"สัจนิยมใหม่ไม่พึ่งจักรยาน"(neorealism without the bicycle) เดอเลิชขยายผลแนวคิดดังกล่าว โดยการนำเสนอ สัจนิยมใหม่ไร้จักรยาน คือแทนที่ปฏิบัติการทิ้งทวนขอดั้นด้น(trip)ไปตายดาบหน้าของตัวละครด้วยปฏิบัติการแทรกซึมเข้าไปขุดกำพืดตัวละครโดยเวลา L'avv ถือเป็นหนังแรมทาง(road movie)เมื่อพิจารณาจุดหมายปลายทางและความแม่นตรงแน่วแน่ในการขับเคลื่อนวาระแม่บทและการไขขานเหตุการณ์ในเชิงแขวะอำการผจญภัยอิทธิฤทธิ์จากเปลือกนอกอาบยาพิษของกาลและอวกาศ

"การดั้นด้น"ในที่นี้สร้างความยุ่งยากแก่กาลและอวกาศข้างในตัวละครเพราะเป็นการสางกำพืดในฐานะตัวแทนคุณค่าที่ตั้งราคาคุยกันไว้และการตกเป็นเป้าในฐานะเจ้าของเรื่อง ความหมายของจุดเริ่มต้นที่เคยคลุมเครือ การคลี่คลายประเด็นต่าง ๆ จึงดูยืดยาด และเปิดพื้นที่ว่างมหาศาลไว้พินิจพิเคราะห์ตัวละคร แต่คนดูต่างต้องแข็งใจสู้กับแรงเสียดสีของห้วงระยะเวลาบนจอของเหตุการณ์ กระบวนการเช่นนี้นำซึ่งการร่วมทุกข์และตระหนักได้ว่าตัวเองผูกพันอยู่กับจักรวาลอันมีเวลาคอยประกาศิตอนิจลักษณะผ่านสสารของโลกียภพ

เดอเลิชบรรยายสรรพคุณความสมบูรณ์แบบของโครงสร้างคู่ควบระหว่างหนังทางกายกับหนังทางใจในงานของแอนโทนิโอนีว่าประกอบด้วยการบรรเลงเรื่องด้วยอัตราเร่งอันผิดแผก สมองคนดูต้องตื่นอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับแบ่งภาคสำนึกออกจากความรู้สึกของผัสสะทางกาย งานของแอนโทนิโอนีมีพลังเหนี่ยวนำทฤษฎีวิพากษ์ของเดอเลิช โดยเฉพาะในเรื่องลูกล่อลูกชน การขับเคลื่อนพฤติการณ์เป็นกลไกผลิตและบรรจุเวลาในหนัง ตัวหนังไม่ได้เป็นเพียงสนามรองรับกิจกรรมในชีวิตตัวละครอีกต่อไป หากแต่แปรสภาพเป็นผลของการเคลื่อนตัวของเวลา ตัวกลางดังกล่าวไม่มีปัจจุบัน แต่เก็บกักสภาพก่อนและหลังเอาไว้ คอยฟูมฟักและถ่ายทอดมโนธรรมและมโนภาพว่าด้วยทุกขเวทนา เดอเลิชชี้แจง ลายจารึกที่ฝากไว้กับตัวกลางระหว่างเคลื่อนผ่านอวกาศ ว่า ตัวกลางดังกล่าวสร้างความเหนื่อยล้า ขันติธรรม รวมตลอดจนความสิ้นหวัง แอนโทนิโอนีล้ำหน้ากว่าใครในทางนี้ กรรมวิธีของเขา การหยั่งก้นบึ้งผ่านพฤติกรรมไม่ได้เป็นบทเรียนแต่เป็นผลพวงของประสบการณ์จากอดีต ผลสืบเนื่อง การแฉโพย กรรมวิธีเช่นนี้จำเป็นต้องมีแม่นตรงในวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับท่วงทีอิริยาบถต่าง ๆ อ่านทั้งหมด

เครื่องมือส่วนตัว