โรคน้ำกัดเท้า
จาก ChulaPedia
เนื้อหา |
โรคน้ำกัดเท้าเกิดจากอะไร
น้ำกัดเท้าไม่ใช้ ชื่อโรคแต่เป็นคำเรียกที่หมายถึงภาวะที่ผิวหนังที่เท้า เปื่อยลอก แดง แสบและคันเนื่องจากน้ำท่วมขังและต้องเดินย่ำน้ำบ่อยๆ ในช่วงฤดูฝน ที่ที่มีอุทกภัย หรือน้ำท่วมขัง การระคายเคืองอาจเกิดมากขึ้นถ้าไม่สามารถรักษาความสะอาดและความแห้งของผิวหนังได้ ทำให้ผิวหนังที่เท้า หรือส่วนอื่นของร่างกายที่ถูกน้ำเมื่อน้ำท่วมสูงทำให้เกิดแผลได้ง่ายและส่งเสริมให้เกิดการติดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
อาการของโรคน้ำกัดเท้า
อาการของโรคน้ำกัดเท้า ที่พอแยกได้เป็น 2 ระยะ
ระยะแรก: ระยะอักเสบระคายเคือง
ผิวหนังจะแดงลอก บางรายอาจมีอาการเท้าเปื่อย คันและแสบ ระยะนี้อาจยังไม่มีการติดเชื้อโรค การเกาหรือถูเพื่อบรรเทาความรู้สึกแสบและคันก็อาจสร้างรอบแผลถลอกเล็กๆ ที่ทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนตามมาได้
ระยะที่สอง: ระยะติดเชื้อแทรกซ้อน
เนื่องจากผิวหนังที่ชื้น เปื่อยและหลุดลอก ซึ่งง่ายแก่การก่อโรคของเชื้อ ที่พบบ่อยคือเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ถ้าติดเชื้อแบคทีเรีย มักมีอาการอักเสบ บวมแดง เป็นหนองและปวด อาการที่เป็นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าติดเชื้อรามักเป็นบริเวณซอกนิ้ว มีลักษณะคัน ผิวเป็นขุย เป็นสะเก็ดหรือเป็นปื้นขาว ลอกออกเป็นแผ่นๆได้ ซึ่งการติดเชื้อรามักเกิดเฉพาะรายที่มีความชื้นสะสมที่เท้าอยู่เป็นเวลานาน ในคนปกติไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ และ ไม่ได้เป็นสาเหตุของผู้ป่วยโรคน้ำกัดเท้าทุกราย เท้าของผู้ป่วยโรคน้ำกัดเท้าระยะที่สองนี้มักมีกลิ่นเหม็นเนื่องจากการหมักหมมของน้ำเหลืองและการติดเชื้อโรคที่กล่าวมาข้างต้น
การป้องกันและการรักษาโรคน้ำกัดเท้า
การป้องกันคือการรักษาที่ดีที่สุด
- รักษาความสะอาด และลดความชื้นที่เท้าลงให้มากที่สุด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำสกปรก โดยใส่รองเท้าบูท หรือใช้ถุงดำครอบให้เหนือกว่าระดับน้ำทุกครั้งที่ต้องเดินย่ำน้ำ หากน้ำที่ท่วมขังมีระดับสูงกว่าขอบรองเท้า อาจแล้วใช้หนังยางรัดไว้ ไม่ให้น้ำเข้าได้
- หรือทาวาสลีน (vaseline) หรือยาขึ้ผึ้งมันๆ บริเวณง่ามเท้า ลดโอกาสที่น้ำจะซึมผ่านผิวหนังและทำให้เกิดความชื้นหรือผิวหนังเปื่อยได้ง่าย สำหรับผู้ประสบอุทกภัยซึ่งไม่สามารถหาวาสลีนได้ อาจใช้ยาขี้ผึ้งรักษากลากเกลื้อนที่เรียกว่าวิทฟิลด์หรือขี้ผึ้งประเภทเดียวกันทาแทนได้
- หากจำเป็นต้องเดินย้ำน้ำสกปรกที่ท่วมขังอยู่ เสร็จธุระแล้วให้รีบล้างตัวด้วยสบู่และน้ำสะอาดถ้าหาได้
- หากน้ำมีปริมาณจำกัดอาจใช้วิธีการแช่น้ำด่างทับทิม โดยใช้เกร็ดด่างทับทิม 2-3 เกร็ดละลายน้ำปริมาณพอควรให้ได้สารละลายสีชมพูจางๆ แช่อย่างน้อย 15 นาที หรือใช้ยาใส่แผลโพวิโดน ไอโอดีนจำนวน 8 หยด ผสมน้ำประมาณ 1 ลิตร และเช็ดให้แห้ง
- หลังจากล้างและเช็ดเท้าจนแห้งแล้ว ให้ใช้แป้งฝุ่นเด็ก(ถ้ามี)โรยบริเวณง่ามเท้าเพื่อให้แห้งอยู่เสมอ
- หากพบว่ามีบาดแผลเกิดขึ้น ควรพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสของแผลกับน้ำที่ท่วมขัง ใส่ยาโพวิโดน ไอโอดีน และเมื่อแผลมีลักษณะอักเสบรุนแรงขึ้น ให้พบแพทย์เพื่อประเมินอาการ เพื่อแก้ไขอย่างถูกต้องทันท่วงที
การรักษาโรคน้ำกัดเท้า
การรักษาโรคน้ำกัดเท้าต้องพิจารณาระยะของโรค เนื่องจากมีอาการและสาเหตุที่แตกต่างกัน
- ระยะแรกที่มีอาการเท้าเปื่อย ลอก แดง คันและแสบ อาจใช้ยาทาสเตียรอยด์อ่อนๆ เช่นไตรแอมซิโนโลนครีม หรือเบตาเมทาโซนครีม โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา หรือถ้ามียาสูตรผสมของสเตียรอยด์กับยาทาฆ่าเชื้อราก็สามารถใช้แทนได้ ข้อจำกัดคือยาทาสเตียรอยด์อาจทำให้ติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น
- การใช้ยาขี้ผึ้งรักษากลากเกลื้อนตำรับวิทฟิลด์ หรือขี้ผึ้งทาแก้น้ำกัดเท้าสูตรเข้ากำมะถัน ทาบริเวณที่เริ่มมีอาการ วันละ 3 ครั้ง สามารถแก้ไขอาการเท้าเปื่อย ลอกแดง และคัน ซึ่งยังไม่ติดเชื้อได้ และหากทาก่อนโดนน้ำจะช่วยลดความเปียกชื้นของผิวได้ และมีตัวยาต้านการติดเชื้อ ลดอาการคัน ลดการเกิดแผลถลอก ที่จะทำให้ติดเชื้ออื่นได้ดี
- ในรายที่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่เป็นไม่มาก อาจใช้การชะล้างบริเวณแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำเกลือ หรือน้ำด่างทับทิม แล้วทาแผลด้วยยาฆ่าเชื้อโรค เช่นโพวิโดน ไอโอดีน หรือยาทาวิทฟิลด์ ตำรับที่ผสมกำมะถันก็ได้
- ในรายที่มีการติดเชื้อรา สามารถใช้วิทฟิลด์ได้ดีไม่ต่างจาก ยาทาต้านเชื้อราอื่นๆ เช่นยาทาโคลไตรมาโซล ซึ่งมีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน แต่ลดความชื้นที่ผิวหนังได้น้อยกว่า
- ในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและรับการรักษาโดยยารับประทานและทำแผลอย่างถูกวิธี
- ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ มีราคาประหยัด ติดผิวหนังได้ดี ไม่ถูกชะออกได้ง่ายเหมือนยาทาโคลไตรมาโซลซึ่งเป็นครีม และใช้เพื่อป้องกันได้ เป็นทางเลือกหลักสำหรับกรณีโรคน้ำกัดเท้าที่เกิดขณะมีอุทกภัย
- เมื่อเป็นเชื้อราแล้วหายยาก ใช้ยาทาติดต่อกัน 3-4 สัปดาห์จนผิวหนังเหมือนหายปกติ ควรใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดใช้ยาเอง การหยุดยาเร็วเกินไปขณะที่เชื้อยังไม่หมดจะกลับเป็นซ้ำอีกได้ง่าย แนะนำให้ใช้ทายาต่อเนื่องหลังหายแล้วอีกอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
- ในรายที่อาการรุนแรงหรือมีการติดเชื้อราที่เล็บร่วมด้วย อาจจำเป็นต้องใช้ยารับประทาน ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
อาการข้างเคียง หรือข้อควรระวังในการใช้ยาทารักษาโรคน้ำกัดเท้า
อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือการระคายเคืองบริเวณที่ทายา ควรหลีกเลี่ยงการทาในบริเวณที่มีแผลเปิด หากใช้แล้วเกิดอาการแพ้ แสบ หรือระคายเคืองอาจหยุดใช้สักระยะ เมื่อการระคายเคืองลดลงสามารถลองใช้ใหม่ได้
รายการอ้างอิง
เอกสารความรู้ "การใช้ยาในโรคที่มากับน้ำท่วม"
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิงอภิฤดี เหมะจุฑา
เภสัชกรหญิงสิรินุช พละภิญโญ
เภสัชกรกิติยศ ยศสมบัติ