แบบจำลองการวิเคราะห์การค้าโลก (GTAP Model)
จาก ChulaPedia
เนื้อหา |
แบบจำลอง GTAP Model
แบบจำลอง GTAP (Global Trade Analysis Project) เป็นแบบจำลอง CGE Model (Computable General Equilibrium) ที่ถูกสร้างและได้รับการพัฒนาโดย The Center for Global Trade Analysis แห่งมหาวิทยาลัย Purdue University และจากผู้ใช้งานแบบจำลองทั่วโลกผ่านทาง Website https://www.gtap.agecon.purdue.edu
ในประเทศไทยแบบจำลอง GTAP นิยมใช้เป็นแบบจำลองหลักในการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในนโยบายทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายการค้าระหว่างประเทศ อาทิเช่น การปรับลดอัตราภาษีศุลกากร การรวมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การจัดตั้งเขตการค้าเสรี การเปิดเสรีการค้าทั้งสินค้าและบริการในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งใช้ในการศึกษาผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ ผลกระทบของการค้าระหว่างประเทศที่มี่ต่อการปล่อยมลภาวะและปัญหาสิ่งแวดล้อม
แบบจำลอง GTAP สร้างขึ้นโดยการใช้สมการทางคณิตศาสตร์และเศรษฐมิติ (Econometric) เพื่อแสดงให้เห็นและเชื่อมโยงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ของหน่วยทางเศรษฐกิจ 4 หน่วย ได้แก่
1. ผู้ผลิต (Firms or Producers)
2. ภาคครัวเรือนและภาครัฐ (Regional Households)
3. นักลงทุน (Regional Investors
4. ภาคการขนส่ง (Transportation Sectors)
โดยความสัมพันธ์ของผู้เล่นหลักทั้ง 4 หน่วยนี้สามารถแสดงให้เห็นได้ในแผนภาพด้านล่าง ภายใต้เงื่อนไขและข้อสมมติ คือ ประเทศมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดและไม่มีการแทรกแซงจากภาครัฐ อย่างไรก็ตามข้อสมมตินี้จะยกเลิกในภายหลัง แต่เพื่อแสดงความสัมพันธ์ในเบื้องต้นจึงยังคงข้อสมมตินี้ไว้เพื่อลดความซับซ้อนในการอธิบายแบบจำลอง) (Hertel and Tsigas, 1997)
แบบจำลองทางด้านอุปสงค์ (Demand Side)
จากแผนภาพ แบบจำลอง GTAP สมมติให้ภาคครัวเรือนและภาครัฐ (Regional Households) ซึ่งเป็นผู้บริโภครายหลักในแบบจำลองมีจุดมุ่งหมายในการบริโภคเพื่อในตนเองได้รับความพึงพอใจสูงที่สุดจากการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ ทั้งที่ผลิตได้เองภายในประเทศและที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยกำหนดในมีการใช้จ่ายซึ่งถูกควบคุมโดยสมการอรรถประโยชน์แบบ Cobb-Douglas Utility Function ซึ่งเป็นการกำหนดครัวเรือนและภาครัฐกำหนดพฤติกรรมการบริโภคสินค้าและบริการของตนเพื่อให้ตนเองได้รับความพึงพอใจสูงที่สุด โดยครัวเรือนจะมีรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าต่างๆ ในสัดส่วนที่คงที่ โดยรายจ่ายของภาคครัวเรือนแยกออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ รายจ่ายของภาคเอกชน (Private Household Expenditure: PRIVEXP) รายจ่ายของภาครัฐ (Government Household Expenditure: GOVEXP) และรายจ่ายเพื่อการออม (Saving Expenditure: SAVE) โดยพฤติกรรมของภาคเอกชนและภาครัฐจะถูกควบคุมโดยค่าความยืดหยุ่นของการทดแทนกัน (Elasticities of Substitution) และยังถูกควบคุมโดยค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Consumer Demand Elasticity) และสมการแบบ Constant Difference Elasticity Function (CDE) โดยสมการในช่วงนี้ได้รับการปรับปรุงให้สามารถอธิบายพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในระดับราคา ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการลดมาตรการกีดกันทางการค้าลง โดยเฉพาะมาตรการทางภาษี หรือเป็นการเพิ่มความสามารถของแบบจำลองให้สามารถอธิบายตัวแปรที่ได้รับการกระทบจากภาคการเงิน เป็นการเชื่อมโยงภาคการเงินเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจแท้จริง (Hertel and Tsigas, 1997; McDougall, 2002)
ภาคครัวเรือนสามารถซื้อสินค้าและบริการได้ทั้งจากผู้ผลิตในประเทศ และ/หรือนำเข้าจากต่างประเทศ โดยกระแสเงินที่ไหลออกนอกประเทศ ได้แก่ VIPA: Value of Import Payment from ROW by Private households at Agents’ Prices, VIGA: Value of Import Payment from ROW by Government households at Agents’ Prices
แบบจำลองทางด้านอุปทาน (Supply Side)
รายได้ของภาคครัวเรือนและรัฐบาลที่จะใช้ในการซื้อสินค้าและบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดเกิดขึ้นจากการขายปัจจัยการผลิตให้กับผู้ผลิต (Firms or Producers) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการผลิตเพื่อแสวงหาผลกำไรสูงที่สุด (Profit Maximisation) จากแผนภาพ กระแสรายได้แสดงโดย VOA (endw) หรือ Value of Output at Agents’ price of endowment commodities ผู้ผลิตจะนำปัจจัยการผลิตเหล่านี้มาประกอบเข้ากับวัตถุดิบขั้นกลางทั้งที่ผลิตจากต่างประเทศ (VIFA) และที่ผลิตได้ในประเทศ (VDFA) มาผลิตเป็นสินค้าและบริการตอบสนองให้แก่อุปสงค์จากภาคครัวเรือนเอกชน (VDPA) ภาครัฐ (VDGA) และส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ (VXMD) นอกจากนี้ยังผลิตสินค้าทุนเพื่อตอบสนองอุปสงค์ต่อการออมและการลงทุน (REGINV) การตัดสินใจผลิตของผู้ผลิตจะถูกกำหนดโดยค่าความยืดหยุ่น Elasticity of Substitution และ Transformation Elasticities
ภาคสมมติที่เรียกว่า Global Bank ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ลงทุนที่ต้องการเงินทุนกับอุปสงค์ที่มีต่อการออมที่เกิดขึ้นจากภาคครัวเรือน ภาคสมมตินี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อสร้างดุลยภาพระหว่างปริมาณการออมและอัตราผลตอบแทนจากการออมที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ และการตัดสินใจลงทุนนี้ก็ถูกกำหนดโดยรูปแบบสมการ Constant Elasticity of Substitution (CES) Function เช่นเดียวกัน ในภาพที่ 10 หน่วยธุรกิจที่ไม่ได้แสดงในแผนภาพนี้คือ ภาคการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Transportation Sectors) ซึ่งเป็นหน่วยสมมติเช่นเดียวกับ Global Bank ทำหน้าที่สร้างสมดุลระหว่างปริมาณการส่งออก และนำเข้าจากแต่ละประเทศ โดยภาคสมมตินี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ทำแบบจำลองใช้ศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ โดยทั่วไปแล้วมูลค่าของภาคสมมตินี้สามารถคำนวณได้จากความแตกต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกแบบ FOB (Free On Board) กับมูลค่าการนำเข้าของสินค้าเดียวกันในแบบ CIF (Cost, Insurance and Freight)
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบบจำลอง GTAP สามารถหาได้จาก Hertel and Tsigas (1997), Narayanan and Walmsley (2008) หรือ Website http://www.gtap.agecon.purdue.edu
ฐานข้อมูล GTAP Database
อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้แบบจำลอง GTAP เป็นที่นิยมในการใช้งาน ก็เนื่องมาจากแบบจำลองนี้มาพร้อมกับฐานข้อมูลตารางโครงสร้างการผลิต (Input-Output Table)และชุดค่าคงที่ (Parameter) ต่างๆ ที่สำคัญของกระบวนการผลิตและการบริโภคของหน่วยต่างๆ ในแบบจำลอง ซึ่งแตกต่างจากแบบจำลองอื่นๆ ที่มักจะเป็นเพียงแบบจำลองเพียงอย่างเดียว ไม่มีฐานข้อมูลเป็นของตนเอง
นอกจากนั้นแล้ว The Center for Global Trade Analysis แห่งมหาวิทยาลัย Purdue University ยังอนุญาตให้ผู้ใช้งานแบบจำลองทั่วโลกสามารถปรับปรุงฐานข้อมูล GTAP ผ่านทาง Website https://www.gtap.agecon.purdue.edu ได้อีกด้วย ดังนั้นฐานข้อมูล GTAP จึงเป็นฐานข้อมูลที่ทันสมัยและมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา โดยฐานข้อมูลรุ่นล่าสุดเป็นฐานข้อมูล GTAP Version 7.1 ซึ่งเป็นฐานข้อมูลใหม่ล่าสุดที่รวบรวมตารางโครงสร้างการผลิต (Input-Output Table) ของ 112 ประเทศทั่วโลก 57 ภาคการผลิต และ 5 ประเภทปัจจัยการผลิต โดยเป็นข้อมูลที่นำมาจากแต่ละประเทศทั่วโลกในปี พ.ศ. 2547
ประเทศที่มีข้อมูลในฐานข้อมูล GTAP เป็นดังนี้
ภาคการผลิตของแต่ละประเทศที่มีในฐานข้อมูล GTAP เป็นดังนี้
และ ปัจจัยการผลิต 5 ประเภทของแต่ละประเทศที่รวมอยู่ในฐานข้อมูล GTAP ได้แก่ ที่ดิน แรงงานฝีมือ แรงงานไร้ฝีมือ สินค้าทุน และทรัพยากรธรรมชาติ