มองเห็นและเรียนรู้อะไร จาก "อุทกภัย" ที่เกิดขึ้น
จาก ChulaPedia
มองเห็นและเรียนรู้อะไร จาก "อุทกภัย" ที่เกิดขึ้น คอลัมน์ ชีวิตเศรษฐกิจ โดย ฉวีวรรณ สายบัว
ภาพของฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและน้ำฝนบวกน้ำป่าที่ไหลลงมากัดเซาะผืนดินจนทำให้ดิน และโคลนพังทลายลงมาทับบ้านเรือน และพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทำมาหากินของผู้คนในจังหวัดอุตรดิตถ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต และสร้างความเสียหายอย่างมากมาย ภาพข่าวน้ำจากแม่น้ำปิงเอ่อล้นเข้าท่วมจังหวัดเชียงใหม่บ่อยครั้ง และกระแสน้ำป่าที่มาก และไหลแรงที่ทำให้ดินถล่มที่อำเภอฝางที่หอบเอาดิน โคลน น้ำและต้นไม้ขนาดใหญ่ที่หักโค่นลงมา แล้วไหลลงไปทับบ้านเรือนมากมายของผู้คน ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต และสูญหาย และสร้างความเสียหายอย่างหนัก
เช่นเดียวกับภาพของน้ำที่ไหลแรงอย่างเชี่ยวกรากและจำนวนมหาศาลที่ไหล เข้าท่วมตัวเมืองอย่างรวดเร็วของจังหวัดอ่างทอง และจันทบุรี และภาพน้ำท่วมในแทบจะทุกพื้นที่ของประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาพของน้ำท่วมและน้ำจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านั้นที่ได้เห็นผ่านจอทีวีมันดูราวกับว่าประเทศไทยกำลังจมอยู่ใต้น้ำ และมันดูน่ากลัวเช่นเดียวกับเหตุการณ์สึนามิ เพราะดูเหมือนว่ามนุษย์เราจะต้านทานอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรไม่ได้เลย (มีเพียงกระสอบทรายและเขื่อนและที่กั้นน้ำต่างๆ ก็ดูน้อยนิดมากเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนมหาศาลของน้ำ และแรงเชี่ยวกรากของน้ำมัน จึงแทบจะไม่ช่วยอะไรหรือช่วยอะไรไม่ได้มากเลย) กับสิ่งที่ธรรมชาติทำให้เกิดขึ้น หรือราวกับเป็นการลงโทษของธรรมชาติ (act of nature/act of god)
ผู้เขียนก็มองเห็น และรู้สึกเหมือนกับชาวบ้านที่ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ ข้างต้นด้วยตนเองที่พูดที่ให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวออกมาว่า "ในชั่วชีวิตที่เกิดมา ยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้มาก่อน" หรือ "นี่เป็นเหตุการณ์ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 40 ปี หรือ 50 ปี หรือ 60 ปี" (และภาพเหตุการณ์น้ำท่วมร้ายแรงเช่นนี้จากน้ำฝน น้ำป่าและน้ำหนุนจากทะเลหรือจากอะไรอื่นๆ เดี๋ยวนี้มันเกิดขึ้นบ่อยมากหรือแทบจะทุกปี)
ไอ้ที่เราเคยรู้สึกดี เราเคยรู้สึกมั่นใจ เราเคยรู้สึกภาคภูมิใจ หรือสิ่งที่เราเห็นเป็นความโชคดีของคนไทย/ประเทศไทย หรือที่เราคิดว่าเป็นจุดแข็งมากของประเทศ ก็คือ เราเป็นประเทศที่มีทำเลที่ตั้งของประเทศที่ดี ที่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ทุกทาง ไม่อยู่ในรัศมีที่จะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติร้ายแรงอะไร และอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มาถึงวันนี้คงจะไม่กล้าพูด กล้าทระนงตนอย่างนี้อีกแล้ว (เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น)
ผลกระทบ ความเสียหายหรือหายนะจากภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ฝนแล้ง แผ่นดินไหว ดินถล่ม ไฟไหม้ป่า ฤดูกาลที่ผิดเพื้ยน อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นและภัยธรรมชาติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการขาดหรือการสูญเสียความสมดุลของธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (เพราะฝีมือหรือการกระทำของมนุษย์) ที่เกิดขึ้น (แน่นอนแม้ว่าไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่แทบจะทุกส่วนของโลกที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นบ่อย ถี่มากขึ้น และในขนาดรุนแรงมากขึ้น) มันมากมันมหาศาล จนเกินกว่าจะคณานับเป็นเงิน และที่ไม่ใช่เงินหรือในเชิงเศรษฐกิจ และไม่ใช่เศรษฐกิจ แต่ที่เป็นความสูญเสียเหนืออื่นใดก็คือ การขาดความรู้สึกมั่นคงในชีวิต และการใช้ชีวิตหรือการสูญเสียขวัญ และกำลังใจในการต่อสู้และดำเนินชีวิตของผู้คน (public confidence and morale)
เพราะดังกล่าวมาถึงวันนี้ดูเหมือนภัยธรรมชาติอะไร (บวกภัยอื่นๆ) ก็เกิดขึ้นได้และไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร และขนาดไหน และดูเหมือนมันจะเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ (act of man) หรือโดยเฉพาะเกินกว่า ขีดความสามารถของคนทำงาน และโดยเฉพาะ ของคนที่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องนำในการบริหารการแก้ไขปัญหาของประเทศ และประชาชน (unmanageable)
แล้วก็คงจะมีคำถามในใจเกิดขึ้นตามมาว่าแล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วมันเกิดขึ้นจากอะไร ประเทศไทย เปลี่ยนจากประเทศที่ดังกล่าวมา เราเคยภาคภูมิใจ และถือเป็นจุดแข็งของเราว่าเป็นประเทศ ที่มีทำเลที่ตั้งของประเทศที่ดี และไม่อยู่ในรัศมีที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติร้ายแรงอะไร และอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ "ในน้ำมีปลาในนามีข้าว" กลายมาเป็นประเทศที่มีภัยธรรมชาติร้ายแรงเกิดขึ้นได้ และทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ก็ร่อยหรอลงทุกวัน (ขณะที่ปัญหาความยากจน และความด้อยพัฒนา/ความล้าหลังของประเทศและประชาชนก็ยังดำรงอยู่มาก)
แน่นอนมันเป็นผลหรือมีสาเหตุมาจากการขยายการเจริญเติบโตและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกันมาอย่างผิดๆ จนถึงปัจจุบัน ที่เริ่มต้นจากการทำมาหากินจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) คือจากการทำมาหากินจากเกษตรและการส่งออกสินค้าเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติ (ไม้สักและไม้อื่น แร่ต่างๆ และสัตว์น้ำ) (จนพื้นที่ป่าของประเทศลดลงอย่างมากมาย แม้แต่ช้างที่บอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ก็ถูกแย่งพื้นที่ถูกรุกราน ต้องถูกนำเข้ามาทำมาหากินบนพื้น บนถนน บนบาทวิถีคอนกรีตอันร้อนในกรุงเทพฯ ที่เป็นสารคดีเผยแพร่ไปทั่วโลก ส่วนแร่ธาตุก็ไม่เหลือแล้ว และความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำก็หมดไปมากจากน่านน้ำไทย) โดยเราแทบจะไม่ได้สร้างมูลค่าอะไรเพิ่มเติม (value added) ขึ้นมาใหม่โดยอาศัยความรู้และสติปัญญาของมนุษย์ (man-made resources)
รายได้จากส่วนเกินจากภาคเกษตรสร้างขึ้นแทนที่จะถูกนำกลับมาพัฒนาภาคเกษตร และชนบทให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ภาคเกษตรที่เข้มแข็งและได้รับการพัฒนาที่ดีแล้ว (เช่นเดียวกับภาคเกษตรของประเทศพัฒนาแล้ว) เป็นรากฐาน/พื้นฐานสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมตามมา แต่กลับนำเอาไปลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาทางกายภาพขนานใหญ่อย่างไม่เคยหยุดยั้ง เพื่อให้ประเทศเป็นทำเลที่ตั้งของอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ (และเป็นแหล่งเข้ามาทำมาหากินของชาวต่างประเทศในประเทศไทย) และการขายการท่องเที่ยว (อย่างถูกๆ)
ตลอดมาของการขยายการเจริญเติบโตและพัฒนาเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาฯกว่า 40 ปีมา เป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติกันอย่างปู้ยี่ปู้ยำ อย่างฟุ่มเฟือย อย่างไร้ประสิทธิภาพ และขาดการตระหนัก และขาดจิตสำนึกของการอนุรักษ์และรักษาความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมดังกล่าว พัฒนากันแต่กายภาพ มีแต่ถนน อิฐ ปูน ซีเมนต์และสิ่งก่อสร้างเต็มไปหมด ซึ่งมันไปกดทำลายจิตวิญญาณของความมีชีวิตของบ้านเมือง และผู้คนให้ตายไปหมด (spiritually dead) มนุษย์เราทำไปโดยไม่รู้ถึงความจริงของการที่ต้องมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ความสัมพันธ์อันเหมาะสมระหว่างมนุษย์ และธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม จึงเป็นที่มาของหายนะ และความทุกข์ยากลำบากทั้งหลายเหล่านี้ เพราะฉะนั้นการแก้ไขปัญหาเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ก็คือ การกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์อันถูกต้อง ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกันขึ้นใหม่
และนอกจากนั้นที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพอะไรขณะนี้หรือเกิดอะไรปรากฏออกมาให้เห็นกันในขณะนี้ (บางคนสามารถมองเห็นได้) มันเป็นพลังต่างๆ ที่เหนือสิ่งธรรมชาติหรือที่เรามองไม่เห็นด้วยตา สร้างเพื่อสั่งสอน หรือให้บทเรียนคนไทย เพื่อให้เรารู้จักการกลับใจใหม่ การสารภาพบาปหรือกลับมามีสำนึกมีจิตวิญญาณที่ถูกต้อง สมกับเป็นมนุษย์กันใหม่ จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมองเห็นหนทางอันถูกต้อง และเหมาะสมในการแก้ปัญหาของประเทศไทยทุกปัญหา